HomeBrand Move !!5 เหตุผลถนนเลียบทางด่วน เป็นแหล่งบ้านหรู ที่เจ้าพ่อ CDC ยึดทำเลขายบ้าน 300 ล้าน

5 เหตุผลถนนเลียบทางด่วน เป็นแหล่งบ้านหรู ที่เจ้าพ่อ CDC ยึดทำเลขายบ้าน 300 ล้าน

แชร์ :

โครงการ Crystal Park ,The Crystal และ CDC หรือ ดีไซน์เซ็นเตอร์  ในย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา หรือถนนมนูประดิษฐ์ธรรม  เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่าเป็นโครงการหรูจับตลาดลักชัวรี่  ของเค.อี.กรุ๊ป  ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสามารถปิดโครงการได้ในเวลารวดเร็ว  อย่างโครง  Crystal Park บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท  เปิดขายในช่วงปี 2549  มีจำนวน 65 หลัง ราคาขายเริ่มต้นแค่ 18 ล้านบาท และสูงสุดราคาหลังละ 80 ล้านบาท  ปิดการขายได้ในเวลา 1 ปีเท่านั้น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เค.อี.กรุ๊ป ยังมีโครงการที่จับตลาดลักชัวรี่อยู่ในพอร์ตอีกหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านหรู “Grand Crystal”  โครงการศูนย์การค้า เดอะ คริสตรัล เอสบี ราชพฤกษ์​  และ เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์ ล่าสุด ยังเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอัลตร้าลักชั่วรี่ระดับ 6 ดาว “คริสตัล โซลานามูลค่า 4,000 ล้านบาท   มีบ้านขายในระดับราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท  และราคาสูงสุดหลังละ  300 ล้านบาท  จำนวนบ้านและที่ดินเตรียมขายรวม  51 แปลง  โครงการนี้ถือได้ว่ามีบ้านขายในราคาที่สูงที่สุดในย่านนี้   แถมบ้านราคา 300 ล้านบาท ยังขายได้แล้วด้วย  ดูจาก Portfolio  ทั้งหมดของเค.อี.กรุ๊ป จะเห็นว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่จับตลาดลักชัวรี่เป็นหลัก  ถ้าจะกล่าาว่า เค.อี.กรุ๊ป เป็น  “เจ้าพ่อตลาดบ้านหรู” ก็ไม่ผิดนัก

แผนธุรกิจของเค.อี.กรุ๊ป  ไม่หยุดแค่นี้  ยังเตรียมแผนพัฒนาโครงการบ้านหรู  ระดับราคา 30 – 70 ล้านบาท ในพื้นที่โซนอื่นๆ  ของกรุงเทพฯ  ขณะนี้กำลังหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ  ไม่ว่าจะเป็นโซนสุขุมวิทซอย 30-50 โซนสาทร พัฒนาการ และกรุงเทพกรีฑา  ส่วนถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา  มีแผนพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบมิกซ์ยูสระดับ มูลค่า 50,000 ล้านบาท ในระยะ 5 ปีข้างหน้าด้วย

คุณกวินทร์ และ คุณศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ผู้บริหาร เค.อี.กรุ๊ป

ตลาดลักชัวรี่ดูเหมือนจะเป็นทางถนัดของ เค.อี.กรุ๊ป และเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นตลาดอสังหาฯ​ เมืองไทย  และยังคงยึดพื้นที่ในโซนถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา  เพื่อขึ้นโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  ตอกย้ำเจ้าตลาดบ้านหรูในย่านดังกล่าว  และนี่คงเป็น 5 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ เค.อี.กรุ๊ป  ยึดทำเลย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราขึ้นโครงการบ้านหรู

1.บริษัทมีที่ดินสะสมอยู่จำนวนมากกว่า 300 ไร่  ในย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินติดถนน  และไม่ใช่แค่มีที่ดินจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนราคาที่ดินที่ต่ำ  เพราะซื้อที่ดินมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว  ราคาที่ซื้อมาคาดว่าจะอยู่ในระดับหลักหมื่นบาทต่อตารางวาเท่านั้น  แต่ปัจจุบันราคาที่ดินพุ่งไปแล้ว 3-3.5 แสนบาทต่อตารางวา  หรือเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในอัตรา  12-15%  หรือแม้แต่ราคาบ้านก็อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย  มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 12% ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน

ราคาที่ดินบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรมบูมมากๆ ในช่วง 5-7 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ราคาบ้านในโครงการ Crystal Park ที่บริษัทเปิดขายเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ก็ปรับตัวสูงด้วย  จากราคาช่วงแรกขายหลังละ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 125 ล้านบาท ในระยะเวลา 4-5 ปี ซึ่งมีคนซื้อขายกันแล้วด้วย  และมีการซื้อขายกันหลายแปลง  แต่มีจำนวนส่วนใหญ่ 90% ยังเป็นการซื้อเพื่ออยู่จริง ส่วนที่ขายเป็นเพราะมีความจำเป็นต้องย้ายที่อยู่  แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมากแสดงให้เห็นว่าบ้านเดี่ยวในโซนนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลาคุณศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เค.อี.กรุ๊ป เล่าถึงศักยภาพโซนถนนประดิษฐ์มนูธรรม

2.ศักยภาพของทำเลย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม ได้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยของตลาดลักชัวรี่  ทั้งจากโครงสร้างพื้นฐาน  คือ  เป็นถนนขนาดใหญ่  เชื่อมต่อถนนสายเศรษฐกิจจากในเมืองและนอกเมือง  ทั้งสุขุมวิท พระรามเก้า ลาดพร้าว เกษตร-นวมินทร์  และรามอินทรา  มีจุดขึ้นลงทางด่วนหลายแห่ง  มีการพัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอีสต์วิลล์  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  เดอะวอล์ค เกษตร-นวมินทร์  เป็นต้น  รวมถึงโครงการหรูที่บริษัทได้พัฒนาไว้ก่อนหน้า และเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นชุมชนของบ้านหรูและตลาดลักชัวรี  ศักยภาพของทำเลดังกล่าวยังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  เห็นได้จากเริ่มมีดีเวลลอปเปอร์เข้ามาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับหรูเพิ่มแล้วอีก 1 โครงการ ได้แก่ กลุ่มสิงห์เอสเตท  กับโครงการ สันติบุรี เรสซิเดนเซส บ้านเดี่ยวหรูราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท รวม 25 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท

3.ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เป็นหนึ่งถนนที่รถไฟฟ้าสายสีเทาผ่าน  ซึ่งเส้นทางรถไฟฟ้าจะเริ่มต้นตั้งแต่วัชรพลถึงท่าพระ รวมระยะทาง 39.91 กิโลเมตร  โดยการก่อสร้างในเฟสแรกจะผ่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมถึงทองหล่อ รวมระยะทาง 16.25 กิโลเมตร  ความสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีเทา   คือ  ผ่าน 2 เส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคต ได้แก่ สายสีชมพู (ถนนรามอินทรา) และสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว)  ซึ่งจะเกิดจุดตัดสำคัญกลายเป็นแยกเศรษฐกิจและธุรกิจในอนาคต  และรถไฟฟ้าสายที่เทาจะนำพาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก  คาดว่าในอนาคตจะเกิดอาคารสำนักงาน  โรงแรม  และพื้นที่การค้าใหม่ๆ ตามเส้นทางดังกล่าว  โดยเฉพาะบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม  เพราะมีพื้นที่รอการพัฒนาอีกมาก

4.การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวเป็นตลาด  Real Demand เพราะคนไทยยังให้มูลค่ากับที่ดิน ขณะเดียวกันการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวมีความเสี่ยงต่ำ  เนื่องจากเป็นบ้านสั่งสร้างตามยอดซื้อ  ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมีความเสี่ยงสูง  มีคู่แข่งทำตลาดจำนวนมาก  และส่วนใหญ่จะต้องพัฒนาอยู่ในพื้นที่กลางเมือง  เช่น  โซนถนนสุขุมวิท แต่การแข่งขันก็รุนแรง และยังมีโอกาสเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายสูง  จากจำนวนโครงการที่มีอยู่มาก  แม้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่แตกต่างกับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวก็ตาม   สิ่งสำคัญการลงทุนในโครงการหรูหรือตลาดลักชัวรี่  จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงในอัตรา 15-20%  สูงกว่าโครงการจับตลาดระดับกลางหรือตลาดแมส

5.กลุ่มเป้าหมายของโครงการบ้านหรูมีอำนาจการซื้อสูง นอกจากตลาดบ้านจะมีความต้องการที่แท้จริงแล้ว  กลุ่มผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มคนมีรายได้สูง  เป็นกลุ่มนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง  ทำให้กลุ่มคนซื้อบ้านหรูเหล่านี้สามารถจ่ายเงินค่าบ้านได้ด้วยเงินสด  มักไม่ค่อยจะกู้เงินกับธนาคาร แต่หากจะกู้ก็เพื่อผลประโยชน์ทางด้านการเงิน นอกจากนี้  ยังพบว่ากลุ่มคนรวยของไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี  ปัจจุบันกลุ่มคนรวยที่มีเงินสดฝากในธนาคารระดับ 200 ล้านบาทขึ้นไป  มีกว่า 91,000 คน  เติบโตเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% จากปีที่ผ่านมาด้วย

คุณกวินทร์  เอี่ยมสกุลรัตน์  รองกรรมการผู้จัดการ เค.อี.กรุ๊ป  เล่าว่า  ปัจจุบันคนไทยมีอายุเพิ่มมากขึ้น  ส่วนใหญ่จะหมดภาระเรื่องลูก  และมีการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินด้านต่างๆ  ทำให้มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น   ซึ่งกลุ่มคนส่วนใหญ่ประมาณ 80% จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ   ขณะเดียวกันตลาดลักชัวรี่เป็นตลาดที่มีความต้องการแท้จริง ไม่ใช่กลุ่มนักลงทุน  และบริษัทมีสินค้าเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าด้วย   ทำให้เชื่อว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัทจะปรับองค์กรเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยการนำระบบการบริหารงานต่างๆ เช่น ระบบไอทีเข้ามาเสริม พร้อมกับขยายโครงการบ้านหรูอย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 20% จากที่ผ่านมาเติบโตในอัตรา 10%   พร้อมกับการดูเรื่องความคุ้มค่าด้านการลงทุน ด้วยเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับ 15-20%” คุณกวินทร์  เล่าถึงเป้าหมายของเค.อี.กรุ๊ป

 

 


แชร์ :

You may also like