โครงการ Crystal Park ,The Crystal และ CDC หรือ ดีไซน์เซ็นเตอร์ ในย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา หรือถนนมนูประดิษฐ์ธรรม เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่าเป็นโครงการหรูจับตลาดลักชัวรี่ ของเค.อี.กรุ๊ป ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสามารถปิดโครงการได้ในเวลารวดเร็ว อย่างโครง Crystal Park บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท เปิดขายในช่วงปี 2549 มีจำนวน 65 หลัง ราคาขายเริ่มต้นแค่ 18 ล้านบาท และสูงสุดราคาหลังละ 80 ล้านบาท ปิดการขายได้ในเวลา 1 ปีเท่านั้น
เค.อี.กรุ๊ป ยังมีโครงการที่จับตลาดลักชัวรี่อยู่ในพอร์ตอีกหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านหรู “Grand Crystal” โครงการศูนย์การค้า “เดอะ คริสตรัล เอสบี ราชพฤกษ์” และ “เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์” ล่าสุด ยังเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอัลตร้าลักชั่วรี่ระดับ 6 ดาว “คริสตัล โซลานา” มูลค่า 4,000 ล้านบาท มีบ้านขายในระดับราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท และราคาสูงสุดหลังละ 300 ล้านบาท จำนวนบ้านและที่ดินเตรียมขายรวม 51 แปลง โครงการนี้ถือได้ว่ามีบ้านขายในราคาที่สูงที่สุดในย่านนี้ แถมบ้านราคา 300 ล้านบาท ยังขายได้แล้วด้วย ดูจาก Portfolio ทั้งหมดของเค.อี.กรุ๊ป จะเห็นว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่จับตลาดลักชัวรี่เป็นหลัก ถ้าจะกล่าาว่า เค.อี.กรุ๊ป เป็น “เจ้าพ่อตลาดบ้านหรู” ก็ไม่ผิดนัก
แผนธุรกิจของเค.อี.กรุ๊ป ไม่หยุดแค่นี้ ยังเตรียมแผนพัฒนาโครงการบ้านหรู ระดับราคา 30 – 70 ล้านบาท ในพื้นที่โซนอื่นๆ ของกรุงเทพฯ ขณะนี้กำลังหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโซนสุขุมวิทซอย 30-50 โซนสาทร พัฒนาการ และกรุงเทพกรีฑา ส่วนถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา มีแผนพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบมิกซ์ยูสระดับ มูลค่า 50,000 ล้านบาท ในระยะ 5 ปีข้างหน้าด้วย
ตลาดลักชัวรี่ดูเหมือนจะเป็นทางถนัดของ เค.อี.กรุ๊ป และเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นตลาดอสังหาฯ เมืองไทย และยังคงยึดพื้นที่ในโซนถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เพื่อขึ้นโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำเจ้าตลาดบ้านหรูในย่านดังกล่าว และนี่คงเป็น 5 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ เค.อี.กรุ๊ป ยึดทำเลย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราขึ้นโครงการบ้านหรู
1.บริษัทมีที่ดินสะสมอยู่จำนวนมากกว่า 300 ไร่ ในย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินติดถนน และไม่ใช่แค่มีที่ดินจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนราคาที่ดินที่ต่ำ เพราะซื้อที่ดินมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว ราคาที่ซื้อมาคาดว่าจะอยู่ในระดับหลักหมื่นบาทต่อตารางวาเท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาที่ดินพุ่งไปแล้ว 3-3.5 แสนบาทต่อตารางวา หรือเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในอัตรา 12-15% หรือแม้แต่ราคาบ้านก็อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 12% ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน
“ราคาที่ดินบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรมบูมมากๆ ในช่วง 5-7 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ราคาบ้านในโครงการ Crystal Park ที่บริษัทเปิดขายเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ก็ปรับตัวสูงด้วย จากราคาช่วงแรกขายหลังละ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 125 ล้านบาท ในระยะเวลา 4-5 ปี ซึ่งมีคนซื้อขายกันแล้วด้วย และมีการซื้อขายกันหลายแปลง แต่มีจำนวนส่วนใหญ่ 90% ยังเป็นการซื้อเพื่ออยู่จริง ส่วนที่ขายเป็นเพราะมีความจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมากแสดงให้เห็นว่าบ้านเดี่ยวในโซนนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลา” คุณศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เค.อี.กรุ๊ป เล่าถึงศักยภาพโซนถนนประดิษฐ์มนูธรรม
2.ศักยภาพของทำเลย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม ได้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยของตลาดลักชัวรี่ ทั้งจากโครงสร้างพื้นฐาน คือ เป็นถนนขนาดใหญ่ เชื่อมต่อถนนสายเศรษฐกิจจากในเมืองและนอกเมือง ทั้งสุขุมวิท พระรามเก้า ลาดพร้าว เกษตร-นวมินทร์ และรามอินทรา มีจุดขึ้นลงทางด่วนหลายแห่ง มีการพัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอีสต์วิลล์ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เดอะวอล์ค เกษตร-นวมินทร์ เป็นต้น รวมถึงโครงการหรูที่บริษัทได้พัฒนาไว้ก่อนหน้า และเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นชุมชนของบ้านหรูและตลาดลักชัวรี ศักยภาพของทำเลดังกล่าวยังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเริ่มมีดีเวลลอปเปอร์เข้ามาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับหรูเพิ่มแล้วอีก 1 โครงการ ได้แก่ กลุ่มสิงห์เอสเตท กับโครงการ สันติบุรี เรสซิเดนเซส บ้านเดี่ยวหรูราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท รวม 25 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท
3.ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เป็นหนึ่งถนนที่รถไฟฟ้าสายสีเทาผ่าน ซึ่งเส้นทางรถไฟฟ้าจะเริ่มต้นตั้งแต่วัชรพลถึงท่าพระ รวมระยะทาง 39.91 กิโลเมตร โดยการก่อสร้างในเฟสแรกจะผ่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมถึงทองหล่อ รวมระยะทาง 16.25 กิโลเมตร ความสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีเทา คือ ผ่าน 2 เส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคต ได้แก่ สายสีชมพู (ถนนรามอินทรา) และสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว) ซึ่งจะเกิดจุดตัดสำคัญกลายเป็นแยกเศรษฐกิจและธุรกิจในอนาคต และรถไฟฟ้าสายที่เทาจะนำพาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก คาดว่าในอนาคตจะเกิดอาคารสำนักงาน โรงแรม และพื้นที่การค้าใหม่ๆ ตามเส้นทางดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม เพราะมีพื้นที่รอการพัฒนาอีกมาก
4.การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวเป็นตลาด Real Demand เพราะคนไทยยังให้มูลค่ากับที่ดิน ขณะเดียวกันการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเป็นบ้านสั่งสร้างตามยอดซื้อ ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมีความเสี่ยงสูง มีคู่แข่งทำตลาดจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะต้องพัฒนาอยู่ในพื้นที่กลางเมือง เช่น โซนถนนสุขุมวิท แต่การแข่งขันก็รุนแรง และยังมีโอกาสเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายสูง จากจำนวนโครงการที่มีอยู่มาก แม้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่แตกต่างกับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวก็ตาม สิ่งสำคัญการลงทุนในโครงการหรูหรือตลาดลักชัวรี่ จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงในอัตรา 15-20% สูงกว่าโครงการจับตลาดระดับกลางหรือตลาดแมส
5.กลุ่มเป้าหมายของโครงการบ้านหรูมีอำนาจการซื้อสูง นอกจากตลาดบ้านจะมีความต้องการที่แท้จริงแล้ว กลุ่มผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มคนมีรายได้สูง เป็นกลุ่มนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง ทำให้กลุ่มคนซื้อบ้านหรูเหล่านี้สามารถจ่ายเงินค่าบ้านได้ด้วยเงินสด มักไม่ค่อยจะกู้เงินกับธนาคาร แต่หากจะกู้ก็เพื่อผลประโยชน์ทางด้านการเงิน นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มคนรวยของไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันกลุ่มคนรวยที่มีเงินสดฝากในธนาคารระดับ 200 ล้านบาทขึ้นไป มีกว่า 91,000 คน เติบโตเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% จากปีที่ผ่านมาด้วย
คุณกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ เค.อี.กรุ๊ป เล่าว่า ปัจจุบันคนไทยมีอายุเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่จะหมดภาระเรื่องลูก และมีการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินด้านต่างๆ ทำให้มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มคนส่วนใหญ่ประมาณ 80% จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันตลาดลักชัวรี่เป็นตลาดที่มีความต้องการแท้จริง ไม่ใช่กลุ่มนักลงทุน และบริษัทมีสินค้าเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าด้วย ทำให้เชื่อว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“บริษัทจะปรับองค์กรเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยการนำระบบการบริหารงานต่างๆ เช่น ระบบไอทีเข้ามาเสริม พร้อมกับขยายโครงการบ้านหรูอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 20% จากที่ผ่านมาเติบโตในอัตรา 10% พร้อมกับการดูเรื่องความคุ้มค่าด้านการลงทุน ด้วยเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับ 15-20%” คุณกวินทร์ เล่าถึงเป้าหมายของเค.อี.กรุ๊ป