HomeInsight3 เทรนด์ ผู้บริโภคที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม ในยุคที่ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น

3 เทรนด์ ผู้บริโภคที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม ในยุคที่ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น

แชร์ :

ผลสำรวจของบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกอย่างมินเทล (MINTEL) ประเทศสิงคโปร์ ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยกำลังมองหาวิธีที่จะปฏิวัติตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม จากการสำรวจกลุ่มผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวน 1,500 ราย อายุตั้งแต่ 16 ปีขี้นไป ตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้บริโภค 4 ใน 5 หรือ 79% ต้องการมีโภชนาการที่ดีขึ้นในปี 2018 ขณะที่ 3 ใน 4 หรือ 76% อยากมีชีวิตสมดุล และ 73% ตั้งใจจะหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

“จำนวนรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และการขยายตัวของเมือง ทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองและดูแลตัวเองในมิติต่างๆ กันมากขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญไปสู่การเป็นคนใหม่ที่ดียิ่งขึ้น หรือกลายเป็น Better Version ของตัวเอง ทำให้เกิดเป็นกระแสในการดูแลตัวเองในหลายๆ ด้าน รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อทำให้เป็นผลดีต่อตัวเองมากขึ้น ทั้งในเชิงสุขภาวะร่างกาย อารมณ์และสุขภาพจิตใจ ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยไม่เพียงแต่หันหลังให้พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ในอดีต แต่กลับเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของการบริโภคมากขึ้น และเริ่มมีความตระหนักมากยิ่งขึ้นต่อสิ่งที่กำลังจะรับประทานเข้าไปหรือการดูแลร่างกายต่างๆ”

ข้อมูลจาก มร. เดลอน หวัง Trends Manager มินเทล เอเชียแปซิฟิก พร้อมฉายภาพเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจมีแนวโน้มว่า คนไทยเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 48% ตั้งใจที่จะเริ่มปฏิวัติวิถีการบริโภคของตัวเองในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยในกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้มีถึง 90% ที่ระบุว่า จะรับประทานผลไม้รวมถึงผักต่างๆให้มากขึ้น ขณะที่อีก 53% วางแผนที่จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้ง 45% ที่ตั้งใจจะใช้ชีวืตตามแนวทางแบบชีวจิตร หรือมังสวิรัติ

3 เทรนด์สำคัญ โอกาสของแบรนด์     

เป้าหมายและความตั้งใจของผู้บริโภคคนไทยที่เห็นได้จากการสำรวจในครั้งนี้ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก และทำให้มองเห็นโอกาสและเทรนด์สำคัญ ที่เป็น Effect จากการที่ผู้บริโภคมีความต้องการทั้งในการบริโภค หรือช่วยอำนวยความสะดวก เพื่อให้สามารถไปสู่เป้าหมายในการเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมจากวัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือมีส่วนผสมจากธรรมชาติ การเลือกช่องทางสื่อสารที่จะทำให้สามารถได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ตามต้องการ หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพทั้งกายและใจลง

ขณะที่ฟากของผู้ประกอบการหรือแบรนด์ต่างๆ สามารถนำข้อมูลจากการวิจัยครั้งนี้ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการผลิตสินค้าหรือบริการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังมองหาและมีความต้องการ โดยมองเห็น  3 เทรนด์สำคัญ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ต่างๆ เมื่อคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ในการนำเสนอสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภค เพื่อมีโอกาสที่จะเป็นทางเลือกกับผู้บริโภคในปัจจุบันได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยทั้ง 3 เทรนด์ใหญ่ ที่ทางมินเทลนำเสนอเพื่อเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อพิชิตใจผู้บริโภคคนไทยได้มากขึ้นนี้ ประกอบด้วย

1. Customization : ผู้บริโภคชาวไทยถวิลหาความพิเศษเฉพาะบุคคล

ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้พบว่า การออกแบบสินค้าหรือบริการเฉพาะบุคคล จะเป็นกุญแจสำคัญในการบริโภค และยังนำมาซึ่งความรู้สึกนึกคิดเชิงบวกต่อชีวิตประจำวันเช่นเดียวกัน ขณะที่เริ่มมองเห็นรูปแบบในการออกแบบสินค้าและบริการที่เป็น Customization ในสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้จะอยู่ในกลุ่มสินค้า Luxury เป็นส่วนใหญ่ โดยปัจจัยนี้ติดอยู่ใน 1 ใน 5 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในยุคนี้มากที่สุดด้วย

โดยพบว่า จำนวน 41% ของกลุ่มตัวอย่าง หรือ 2 ใน 5 ของผู้บริโภคคนไทยในเมืองใหญ่ พึงพอใจกับแบรนด์ที่ทำให้พวกเขามีโอกาสในการเลือกสินค้า และบริการที่เหมาะกับเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ โดยจะมองว่าสินค้าเหล่านี้ตอบโจทย์และคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร ที่ปัจจัยในเรื่องนี้มีผลต่อการตัดสินใจถึง 67% ตามมาด้วยสินค้าสุขภาพหรือฟิตเนส ที่ 63%

ส่วนในกลุ่มสินค้าด้านความสวยความงาม พบว่าจำนวนถึง 51% ชอบให้สินค้าและบริการออกแบบเฉพาะเจาะจงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย เช่นเดียวกันกับสินค้าประเภทความสวยงามรวมทั้งกลุ่ม Personal Care ด้วย

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคจะคำนึงถึงในการซื้อสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน พบว่า 63% มุ่งเน้นการซื้อสินค้าคุณภาพ, 48% ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ความสะดวก, 38% เลือกซื้อที่ราคา, 37% จะดูที่ความทนทาน และมีผู้บริโภคถึง 29% ที่เลือกซื้อสินค้าที่ถูกออกแบบมาเฉพาะกลุ่มบุคคล หรือ Customization นั่นเอง

2. Technology & Digital : การบริโภคยุคดิจิทัล

โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางกรอบแนวคิดในเรื่องของการบริโภคข้อมูลข่าวสาร และสร้างอิทธิพลต่อผู้บริโภคชาวไทย โดยงานวิจัยของมินเทลระบุว่า 63% ของผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจากข้อมูลออนไลน์เป็นหลัก ในขณะที่มากกว่าครึ่ง หรือ 54% เลือกซื้อตามอิทธิพลของสังคมออนไลน์ โซเชียลมีเดียหรือตามบล็อกเกอร์ นอกจากนั้น อีก 59% ระบุว่าสินค้าประเภทความสวยความงามได้รับอิทธิพลมาจากสังคมออนไลน์และบล็อกเกอร์มากที่สสุด และท้ายที่สุด 56% ระบุว่าพวกเขาค้นหาข้อมูลผ่านออนไลน์ และการ Search Engine

แต่ถึงแม้ว่าโลกออนไลน์จะเป็นช่องทางสำคัญที่ผู้บริโภคจะเข้าไปหาข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการหรือมีความสนใจได้ด้วยตัวเอง แต่จำนวนข้อมูลที่มีอยู่อย่าง Overload ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเลือกข้อมูลที่ถูกต้องหรือดีที่สุดได้ จึงโอกาสของแบรนด์ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในการ Guide หรือให้คำปรึกษา แนะนำข้อมูลต่างๆ ที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นโอกาสที่แบรนด์จะสามารถเข้าไป Connect กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

“สินค้าประเภทติดตามข้อมูลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Wearable Tech หรือ Health Tracking ต่างๆ ที่สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้สวมใส่ได้ จะกลายมาเป็น Key Player ของตลาดในอนาคต และสามารถเป็นตัวช่วยในเรื่องการออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าอีกไม่นาน ระบบข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะเชื่อมโยงถึงกันและไม่เพียงแต่จะช่วยนักการตลาดเท่านั้น แต่ผู้บริโภคเองก็เก็บข้อมูลของตัวเองได้ด้วย เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจคุณภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และมีส่วนในการชวยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ เพื่อทำให้สุขภาพโดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งตามข้อมูลงานวิจัย พบว่า 39% ของกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยที่เริ่มใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในครัวเรือน และเป็นเจ้าของใช้งานเอง”  

3. Natural Takeover : การรักษาสมดุลย์ตามธรรมชาติ

ในภาพรวม ผู้บริโภคชาวไทยปรารถนาที่จะมีคุณภาพชีวิตและมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่นิยามของการมีสุขภาพดี สำหรับพวกเขาในวันนี้ นักวิจัยของมินเทล เน้นย้ำว่า 67% ของผู้บริโภคชาวไทยให้นิยามว่า คือ “อาหารที่ดี” ซึ่งประกอบด้วยวัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติ,  ขณะที่ 61% บอกว่าต้องมีไขมันต่ำ, 56% มองว่าต้องเป็นสินค้าออแกนิกส์, 55% ระบุว่าต้องมีแคลอรีต่ำ,  54% ระบุว่าต้องมีปริมาณน้ำตาลน้อย

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง หรือ 53% พยายามหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว และ 43% เลือกที่จะไม่บริโภคน้ำตาลขัดสี ขณะที่ 33% ระมัดระวังการบริโภคเหลือ และเนื้อแดงที่อาจมีสารเคมีปนเปื้อน เป็นต้น

“มีรายงานว่าบริษัทผู้ผลิตสินค้าประเภท อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล และความงาม ต่างเริ่มตระหนักดีถึงความต้องการของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่มีความเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับข้อมูลของ Mintel Global New Products Database (GNPD) ที่พบว่า 41% ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ที่ทยอยเปิดตัวในตลาดประเทศไทยเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีส่วนผสมของธรรมชาติ และมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มนี้เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2010 อยู่ถึง 34%”

นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยเริ่มค่อยๆปรับการบริโภคมาเป็นการเลือกรรับประทานพืชผักต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง 76%  โดยส่วนใหญ่ระบุว่าพวกเขาเลือกรับประทานโปรตีนจากพืช อย่างเช่น ผักใบเขียว และถั่ว มากกว่าการบริโภคโปรตีนจากสัตว์ที่มาจากเนื้อสัตว์ หรือไข่ ในขณะที่มากกว่า 55% เห็นด้วยว่า โปรตีนจากพืชนั้นเยี่ยมยอดกว่าโปรตีนจากสัตว์

“พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นของผู้บริโภคคนไทย จะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทต่างๆ ในการปรับกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบสินค้าประเภทใด ให้เดินหน้าสู่ความเป็นธรรมชาติ เนื่องจากดีมานด์ในตลาดที่มีอยู่ในระดับสูง  นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้บริโภคเองก็ชื่นชอบสินค้าจากธรรมชาติ ที่มีความง่าย และมีโภชนาการที่ยืดหยุ่น การหันมาบริโภคโปรตีนจากพืชจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ผู้บริโภคยุคนี้มองหา เพราะให้คุณค่าสารอาหารต่างๆ ที่มากกว่าหรือเท่ากับคุณค่าจากเนื้อสัตว์ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภคมากกว่า”


แชร์ :

You may also like