Amazon กลายเป็นบริษัทที่ 2 ที่มีมูลค่ากิจการเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันอังคารที่ผ่านมา ต่อจาก Apple ที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนเลข 13 หลักที่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในตอนนี้ Amazon และ Apple มีมูลค่าเป็น 8% ของกิจการใน S&P500 จากการวิเคราะห์ของ Howard Silverblatt นักวิเคราะห์ S&P อาวุโส
1 ล้านล้านดอลลาร์อาจจะไม่ได้เป็นจุดชี้วัดที่มีเหตุผลอะไรมากมาย แต่สำหรับบริษัทที่เปิดทำการมาเพียง 24 ปี สามารถเติบโตได้ขนาดนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมไม่ใช่น้อย และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคตสำหรับกิจการนี้ด้วย
กิจการที่อยู่ในกลุ่มร้านค้า มีมากกว่า 90% ในกิจการค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าหากว่าต้องการให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งมีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ จะต้องนำกิจการราว 14 มารวมกัน ตั้งแต่ Walmart จนไปถึง Autonation ซึ่งความตื่นเต้นของนักลงทุนยังไม่จบเพียงแค่นี้ เมื่อ Aswarth Damodaran อาจารย์สอนวิชาการเงินจาก NYU ได้บอกว่าโดยปกติอัตราส่วน Price-to-earnings (อัตราส่วนที่ใช้วัดค่าความถูกหรือแพงของราคาหุ้น หรือเรียกว่า P/E ratio) อยู่ที่ประมาณ 20 – 40 ในปีที่ผ่านมา แต่ P/E ratio ของ Amazon อยู่ที่ 180
หลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนมักจะไม่สนใจหุ้น Amazon เท่าไหร่ เพราะกำไรที่ได้จากการค้าขายถูกเทกลับรวมไปที่เงินลงทุนในการขยายกิจการ ซื้อกิจการ และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นทุกอย่างเริ่มที่จะเปลี่ยนไป เมื่อ Amazon เริ่มรายงานกำไรทางบัญชี ในต้นปี 2018 นั้น บริษัทมีมูลค่ากิจการเพียงแค่ 580 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 2 ตามรายงานทางการเงินได้ประกาศรายได้สุทธิที่โตขึ้นอย่างมหาศาลที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับรายได้สุทธิของไตรมาสที่ 2 ของปี 2017 ที่มีเพียง 197 ล้านดอลลาร์ และหากมองลึกลงไปอีกจะพบว่าความสำเร็จของ Amazon Web Services (ธุรกิจ Cloud) รวมทั้งการโฆษณาที่ขายทุกแพลทฟอร์มได้สร้างรายได้และกำไรจากการสมัครสมาชิก Prime
ก่อนหน้านี้ Morgan Stanley ได้ยกระดับเป้าหมายราคาหุ้นของ Amazon ไว้ที่ 2,500 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งได้ทำให้ราคาประเมิณอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ จากการคาดการณ์การเติบโตของรายได้ 24% ต่อปี ไปถึงปี 2020 และตีมูลค่ากิจการ Amazon Web Services ที่พบได้ตั้งแต่ในกิจการ startup จนไปถึง CIA ไว้ที่ 375 พันล้านดอลลาร์ และนักวิเคราห์และนักลงทุนหลายคนที่คิดว่าราคาหุ้นของ Amazon นั้นสูงเกินไป
นักวิเคราะห์อิสระ Daniel Martins กล่าวว่า
“ฉันคิดว่า Amazon คือส่วนผสมที่ดีที่สุดในโลกของบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทที่มี DNA ความเป็นผู้บริหารกับจิตวิญญาณของ startup”
Amazon มีความน่าสนใจต่อนักลงทุนเพราะว่า Amazon สามารถเข้าไปมีอิทธิพลในทุกอุตสาหกรรมที่ Amazon ก้าวเข้าไปทำธุรกิจด้วย อันเป็นผลจากพลังของข้อมูลและการจัดส่งของที่รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนี้ทำให้ Amazon เองก็ต้องกังวลเกี่ยวกับกฎหมายแห่งการผูกขาด เนื่องจากการค้าขายที่เกิดขึ้นที่ Amazon มีราคาถูกกว่าคนอื่น