กลายเป็นดราม่าเผ็ดร้อนในโลกออนไลน์ถึงขนาดนี้ แฮชแท็ก #NikeBoycott กลายเป็นเทรนด์ในทวิตเตอร์ตอนนี้ เมื่อ Nike (ไนกี้) เปิดตัวโฆษณาชิ้นใหม่ ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ เพื่อฉลอง 30 ปีของแบรนด์ อันเนื่องมาจาก นักกีฬาที่นำแสดงในผลงานโฆษณา Just do it ชุดใหม่ Colin Keapernick คือควอเตอร์แบ็กจากทีมซานฟานซิสโก โฟร์ตี้ไนท์เนอร์ ซึ่งอเมริกันชนส่วนหนึ่งแอนตี้เขา
ในปี 2016 Colin Keapernick ประท้วงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขามองว่า กดขี่กับคนผิวสีและชนชาติอื่นๆ เขาจึงเลือกที่จะแสดงออกด้วยการ “คุกเข่า” แทนที่จะยืนตรงในช่วงเวลาที่เพลงชาติเปิดก่อนการแข่งขัน NFL นั่นทำให้แฟนอเมริกันฟุตบอลส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเขา “เนรคุณชาติ” หรือ “ชังชาติ” ทั้งๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ให้ที่อยู่อาศัยและสร้างงานที่ทำให้เขามีรายได้หลายล้านดอลลาร์
ไนกี้ เป็นแบรนด์ที่ให้การสนับสนุนเขามาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี 2011 และเมื่อเขาเลือกที่จะประท้วงนโยบายของรัฐ ด้วยวิธีการนี้ แบรนด์อื่นๆ ถอนตัวจากเขา แต่ไนกี้ก็ยังคงสนับสนุนอยู่แบบเงียบๆ แถมในแคมเปญที่สำคัญอย่างงานฉลอง 30 ปีของแบรนด์ ก็จัดหนัก ทำโฆษณาที่เขานำแสดง
การแสดงจุดยืนในครั้งนี้ของไนกี้ถือว่าเป็นความกล้าหาญหรือบ้าบิ่น Crazy ราวกับก้อปปี้ในโฆษณา และน่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อเทรนด์การตลาดในยุคนี้ แบรนด์ต้องแสดงจุดยืนทางสังคม Brand with Purpose การเลือกข้างแบบนี้ เหมาะสมหรือไม่? เมื่อฟีดแบ็กที่เกิดขึ้นก็คือ หุ้นของไนกี้ตกลง 3.2% ขณะที่ #NikeBoycott กลายเป็นเทรนด์ในทวิตเตอร์ ถึงขนาดมีลูกค้าบางคนประกาศว่าจะเผารองเท้าไนกี้ทิ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ใจผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่น้อย