ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังถูกจับตามองในฐานะ Game Changer ที่จะเข้ามาสร้างความยั่งยืนต่อโลกอนาคต ซึ่งผลวิจัยล่าสุดของ PricewaterhouseCoopers (PwC) หนึ่งใน BIG 4 บริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำการศึกษาร่วมกันระหว่าง PwC ประเทศอังกฤษ และ PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา ในหัวข้อ AI for Sustainability ฉายภาพให้เห็นว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับเอกชน ชุมชนเมือง ประเทศ และต่อโลกมากขึ้นเป็นลำดับ
คุณกุลวัลย์ สุพรสุนทร ผู้จัดการด้าน Sustainability และ Climate Change บริษัท ไพร้ซ์วอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส เอฟเอเอส จำกัด กล่าวถึงผลวิจัยดังกล่าวว่า สามารถนำเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI เข้ามาแก้ปัญหาเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลกเราในอนาคต โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ในหลายๆ เรื่อง
ทั้งนี้ พบว่า AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของโลกได้หลากหลายมิติ เพื่อนำโลกไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ ประกอบด้วย
1. Climate Change บทบาทในการเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องโลกร้อน เพราะหลายปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายประเทศจึงได้มีการนำ AI เข้ามาช่วยในการทำ Smart Transportation เช่น ในประเทศนอร์เวย์กำลังผลักดันให้มีการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการนำ AI มาคาดการณ์ระบบพลังงานว่ามีปริมาณการใช้เท่าไหร่ หรือการที่ Google ใช้ระบบ GPS เข้ามาวิเคราะห์ความหนาแน่นทางจราจร เพื่อแนะนำเส้นทางที่ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง รวมถึงการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนที่จะตก เพื่อภาครัฐจะได้เตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
2. Biodiversity and Conservation การรักษาความหลากหลายและความสมดุลของระบบนิเวศ หลังจากการวิจัยหลายแห่งพบว่า ไม่กี่ร้อยปีมานี้พืชพันธุ์ และสัตว์บางประเภทสูญพันธุ์ไปจากโลกมากมาย ทำให้เริ่มมีการนำ AI มาใช้เพื่อมอนิเตอร์ผลกระทบที่เกิดจาก Climate Change อาทิ ภัยแล้ง และไฟป่า โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อสิ่งมีชีวิตในแต่ละพื้นที่
3. Healthy Oceans จำนวนถุงพลาสติกที่ถูกทิ้งลงแหล่งน้ำและทะเล ทำให้สัตว์ทะเลต้องทนทุกข์ทรมาน และตายจากการกินพลาสติกเข้าไป ประกอบกับโลกร้อนส่งผลให้สารเคมีในทะเลเปลี่ยนไป เกิดความไม่สมดุลทางธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมานาซ่าใช้เทคโนโลยีดาวเทียมมาช่วยในการพยากรณ์แพลงตอน หรือชีววิทยาทางทะเลว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และยังใช้ AI ในการมอนิเตอร์ในลักษณะ Global Fishing Watch ว่าจุดไหนมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทำประมงแบบไม่ยั่งยืน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการประมงเกินกว่ากำลังทะเลจะทดแทนได้ (Over Fishing)
4. Water Security ที่ผ่านมาเกิดความไม่สมดุลของน้ำในพื้นที่ต่างๆ บางแห่งเกิดอุทกภัย บางแห่งเกิดภัยแล้ง ดังนั้น AI จะเป็นตัวช่วยพยากรณ์การไหลของน้ำ (Water Flow) วิเคราะห์ปริมาณน้ำจืดในแหล่งที่ต้องใช้ในการผลิตน้ำ หรือแม้แต่การสร้างโซลูชั่นให้กับอุตสาหกรรมผลิตน้ำประปา ในการวิเคราะห์ว่าควรจะปล่อยน้ำขนาดไหน อย่างไรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
5. Clean Air เมืองใหญ่กำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ผ่านมามีการจับมือกันระหว่าง ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และแอร์วิชวล ในกรุงปักกิ่ง ด้วยการนำ AI มาทำ Early Warning เพื่อติดตามปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ ผ่านแอพพลิเคชันวัดคุณภาพของอากาศ รวมถึงวิเคราะห์สาเหตุข้อมูลมลพิษในอากาศที่สูงขึ้น หรือลดลงว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
6. Water and Disaster Resilience จากการวิจัยพบว่าโลกเรามีความถี่ในการเกิดภัยพิบัติภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา ทำให้บางประเทศเช่นในอินโดนีเซียเริ่มมีการนำ AI ผ่านระบบเปิด (Open Source) เพื่อพยากรณ์ความเป็นไปหรือโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างในภาคการเกษตร ที่ใช้ AI พยากรณ์อากาศ หากฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำ เพื่อลดต้นทุน และทรัพยากร
ทั้งนี้ ผลศึกษาดังกล่าวถูกเปิดเผยในเวที Global Business Dialogue 2018 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และกระทรวงการต่างประเทศ โดย คุณธรรมศักดิ์ จิตติมาพร รองประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า งาน Global Business Dialogue 2018 จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ภายใต้หัวข้อ Innovating the Sustainable Future เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามามีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกให้ยั่งยืน และก้าวสู่ Sustainable Development Goals (SDGs) โดยเฉพาะบทบาทของ AI ที่หลายฝ่ายพยายามนำมาใช้เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไรบ้าง รวมทั้งความสำคัญในฐานะ Game Changer ของโลกใหม่ ที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งมีความชาญฉลาดมากขึ้น และเป็นกลไกสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
เมื่อ AI คือ Game Changer ของทุกการพัฒนา
สำหรับในมุมของเมืองขนาดใหญ่ อย่างกรุงเทพมหานคร ดร.ศุภชัย ตันติคมน์ อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า AI สามารถนำมาใช้ในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาเมืองใหญ่ของกรุงเทพมหานครในหลายๆ ด้าน เพื่อให้เป็น Smart Sustainable City อาทิ ปัญหาการจราจร ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาด้านการจัดการพลังงาน และปัญหามลพิษทางอากาศ และขยะ เป็นต้น
คุณกุลวัลย์ ยังคาดการณ์ต่อว่า ภายในปี ค.ศ. 2020-2030 ทุกคนจะภาพที่ชัดเห็นขึ้นว่า AI จะกลายเป็น Game Changer โดยเฉพาะในภาคของการสร้าง Smart City, Smart Agriculture และ Decentralize ระบบการจัดการต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการอย่างมีเอกเทศ และแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น
“ปีที่ผ่านมา PwC ยังได้ทำการสอบถามผู้บริหารทั่วโลกพบว่า 54% ยอมรับว่าได้มีการตัดสินใจลงทุนพัฒนาด้าน AI มากขึ้นกว่าปี 2016 นั่นหมายความว่า ภาคธุรกิจเริ่มมอง AI เป็นโอกาสทางธุรกิจในการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร และทำให้เกิดผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม”
แต่ในเวลาเดียวกัน AI ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเชิงสังคม ที่อาจจะก่อให้เกิดความแตกแยก คนตกงาน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องสื่อสาร และมีแผนรองรับที่ดี รวมถึงด้านจริยธรรม ที่มีหลายคนนำเสนอว่าควรฝังจุดตัดทางจริยธรรมเข้าไปใน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งควรเพิ่มความเข้มข้นให้มากขึ้น และต้องทำให้เกิดความโปร่งใส พร้อมตรียมแผนสำหรับการแก้ปัญหาหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ขึ้น เพราะการใช้เทคโนโลยีที่ดีมาใช้ นอกจากจะนำส่วนที่เป็นประโยชน์เข้ามาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังต้องสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และก่อให้เกิดความยั่งยืนในสังคมอย่างแท้จริงอีกด้วย