เพราะใครๆก็ขายของได้
พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงการทำธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะการขยายตัวของการค้าขายในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งเติบโตสูงต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้ใครๆก็สามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำทั่วไป นักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน ผู้ประกอบการ SME หรือแม้แต่สตาร์ทอัพ ฯลฯ
สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุในปี2560 ประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซ อยู่ที่ 2,812,592 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจต่อผู้บริโภค(B2C) มูลค่า 812,613 ล้านบาท และในปี2561 คาดเติบโต17% มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 949,122 ล้านบาท
ขณะที่ช่องทางการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดียครองสัดส่วนสูงสุดถึง 40% การซื้อขายผ่านบริการแพล็ตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-มาร์เก็ตเพลสอยู่ที่ 35% และซื้อขายผ่านออนไลน์โมเดิร์นเทรด(Brand.com) 25% ส่วนช่องทางการชำระเงิน พบว่าการโอนเงินผ่านธนาคารได้รับความนิยมสูงสุด อยู่ที่ 65% การชำระบัตรเครดิต 35% โดยบัญชีธนาคารกสิกรไทยเป็นอันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือกใช้ในการโอนเงินชำระค่าสินค้า
“อีคอมเมิร์ซ กำลังจะเป็นตลาดที่เติบโต มีขนาดใหญ่มากในอนาคต และมีสัดส่วนมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดโซเชียล คอมเมิร์ซ โดยในรอบสี่ปีที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว” พัชร กล่าว
5 กลยุทธ์ออนไลน์-ออฟไลน์ มัดใจลูกค้า
แนวโน้มดังกล่าวยิ่งทำให้ ธนาคารกสิกรไทย ต้องการเข้ามาดูแลลูกค้าธุรกิจออนไลน์ในกลุ่มนี้มากขึ้น ปัจจุบันกสิกรไทย มีลูกค้าทำธุรกิจออนไลน์ราว 300,000 ราย และมองว่าเป็นฐานลูกค้าใหม่ที่กำลังเติบโต และแน่นอนว่าจะต้องมีความต้องการบริการในด้านต่างๆตามมาในอนาคต
โดย กสิกรไทย ได้วางกลยุทธ์ดูแลลูกค้าออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้
1.รับจ่ายเงินง่าย ด้วย K PLUS shop แอปพลิชันสำหรับร้านค้ายุคใหม่ ด้วยฟีเจอร์ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น เปรียบเทียบราคาค่าขนส่ง ติดตามสถานะและชำระค่าขนส่ง รายงานยอดขาย เป็นต้น ในส่วนของการขายออนไลน์ก็จบง่ายด้วย บิลแมวเขียว QR ส่งเรียกเก็บเงินผ่านทางโซเชียล มีเดียและบริการ Pay with K+ บริการชำระเงินที่ช่วยให้การปิดการขายบน Facebook ง่ายขึ้น
2. เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ ด้วยบริการสินเชื่อเอสเอ็มอี บน K Plus ส่งตรงถึงลูกค้า โดยไม่ใช้หลักประกัน และรับสินเชื่อได้ใน 1 นาที ด้วยวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท
3.เพิ่มช่องทางการขายผ่าน K Plus Market ซึ่งมีฐานลูกค้ากว่า 9.4 ล้านราย เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการขายสินค้าขยายตลาดได้มากขึ้น
4. เปิด K ONLINESHOP SPACE หรือ KOS ณ ชั้น5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งอิเซตัน สาขาต้นแบบแห่งแรกเพื่อให้บริการลูกค้ากสิกรไทยรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เริ่มต้นธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ด้วยบริการด้านต่างๆ จากพันธมิตรกว่า 20 ราย เช่น LINE@ Grab Shippop POSvision Sellsuki ITOPPLUS Flow Account PEAK JUBILI เป็นต้น ที่จะเข้ามาให้ความรู้ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาการทำตลาดออนไลน์และการจัดการธุรกิจ และยังสามารถใช้เป็นสถานที่พบปะสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มเดียวกันด้วย
5. พัฒนา K DIGIBIZ เว็บไซต์ใหม่ล่าสุดของกสิกรไทย ที่จะรวมตัวช่วยต่างๆในการจัดการธุรกิจด้วยเครื่องมือจัดการการขายแบบครบวงจร คาดพร้อมเปิดตัวเว็บไซต์ภายในเดือนพ.ย.นี้ ผู้สนใจสามารถใช้บริการได้ที่ digibiz.kasikornbank.com
ปรับสาขาเก่า ลุยฟอร์แมตใหม่
ด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดของธนาคารกสิกรไทย สะท้อนถึงทิศทางการดำเนินงานของธนาคารกสิกรไทย ที่เดินควบคู่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แม้ว่าจะเร่งพัฒนาบริการทางการเงินดิจิทัลบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งออฟไลน์เอาไว้ข้างหลัง ด้วยยังให้ความสำคัญกับสาขาธนาคารเพื่อให้บริการแบบถึงตัวลูกค้ายุคใหม่ ด้วยการเปิดสาขาธนาคารรูปแบบ(ฟอร์แมต)ต่างๆ แบ่งเป็น 4 รูปแบบได้แก่ 1. สาขาแบบเดิมที่ให้ลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติ 2. สาขาในรูปแบบ K PARK ที่รองรับรูปแบบไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ของลูกค้าได้มากขึ้น 3. สาขาในรูปแบบ K-Lobby เป็นสาขาในรูปแบบดิจิทัล ให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้อย่างสะดวก และ 4. สาขาในรูปแบบ K ONLINESHOP SPACE นั่นเอง