ในวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา MINISO ร้านค้าปลีก สัญชาติจีน ได้ประกาศเซ็นสัญญาร่วมซึ่งเป็นสัญญาการลงทุนร่วมทางกลยุทธ์กับ Tencent และ Hillhouse Capital และได้รับเงินลงทุนไป 1 พันล้านหยวน
ทำความรู้จัก MINISO
นี่เป็นครั้งแรกที่ MINISO บริษัทที่มีต้นกำเนิดจากกวางเจา ได้รับเงินสนับสนุนจากภายนอก นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2013 เหตุผลสำคัญก็มาจากกลยุทธ์ที่รุกสู่ตลาดต่างประเทศในปี 2015 ด้วยแนวคิด “คุณภาพสูง ราคาถูก” ซึ่งการก้าวออกนอกกำแพงเมืองจีน นั่นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน Supply Chain ครั้งสำคัญ เพราะ Miniso กลายเป็นร้านรีเทลที่มี 3,000 สาขาทั่วโลกทันที โดยแบ่งเป็น 2,000 สาขาในประเทศจีน และอีก 1,000 สาขาในต่างประเทศ รวมแล้วร้านค้าแห่งนี้มีลูกค้าถึง 1 พันล้านคน! และมีสินค้าที่ถูกจำหน่ายไปแล้ว 300 ล้านรายการ ท่ามกลางการแข่งขันและการปิดตัวของห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ในยุค Digital Disruptive แต่ MINISO กลับขยายสาขารัวๆ
ร้านค้าปลีกแบรนด์นี้เป็นของ 2 ผู้ก่อตั้ง Miyake Junya ดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่น และ Ye Guofu อดีตดีไซน์เนอร์ที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ ทำให้เป็นร้านค้าที่ใส่ใจกับเรื่องดีไซน์เป็นอย่างมาก
โดยแนวคิดของทั้งสองตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “เคารพต่อลูกค้า” สินค้าของเขามีความคิดสร้างสรรค์ มีคุณภาพ บนภาพลักษณ์โมเดิร์น ในราคาที่จับต้องได้ สินค้าในร้านราคาจะอยู่ที่ 1-30 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังมีนโยบายเปลี่ยนของบนเชลฟ์ทุกอาทิตย์ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาเข้าร้านใหม่เรื่อยๆ ความคาดหวังของแบรนด์ คือ อยากให้ลูกค้าเข้าร้าน 7 วันต่อสปดาห์ (ก็ทุกวันนั่นแหละ) รวมทั้งมีสินค้าเบ็ดเตล็ด หลากหลาย ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง ของแต่งบ้าน เสื้อผ้า ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
5 ปรัชญาพื้นฐานของ MINISO คือ
- สินค้าเรียบง่าย เป็นของที่คนจำเป็นต้องใช้งาน
- เป็นของแท้ ไม่ปรุงแต่ง
- มีคุณภาพในราคาถูก
- วัสดุทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเท่าที่จะทำได้
- เคารพในผู้บริโภคและธรรมชาติ
ที่ประเทศจีน สโลแกนที่ MINISO ใช้โปรโมทร้านก็คือ “ten yuan each, quality of life” (แค่ 10 หยวน ก็ได้คุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว)
ดีไซน์ คือ หัวใจสำคัญ
สินค้าของ MINISO ไม่ใช่แค่ถูกเท่านั้น แต่ที่โดนใจคนทุกวัย ก็เพราะ “ดีไซน์” กว่าสินค้าจะวางจำหน่าย เบื้องหลังได้ผ่านการทำวิจัย และความร่วมมือจากดีไซน์เนอร์ทั่วโลก เพื่อมองหาแรงบันดาลใจ หรือเกาะติดเทรนด์ใหม่ๆ ทั้งเรื่องของสินค้าและการตกแต่งร้าน
MINISO จะอาศัยช่องทางการสื่อสารในออนไลน์ Word of Mouth และโปรโมชั่นจุดกระแส หลังจากนั้นก็จะขยายสาขา นำสินค้าของตัวเองไปอยู่ใกล้กับผู้บริโภคให้มากที่สุด โดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมาย “ชนชั้นกลาง”
ความสำเร็จของ MINISO ก่อให้เกิดแบรนด์อื่นๆ ผุดขึ้นมา โดยพยายามใช้โมเดลเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของสินค้า การจัดหน้าร้าน การวางตำแหน่งเชลฟ์ และภาพลักษณ์โมเดิร์น ด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก แต่การเข้าถึงและความแข็งแกร่งของแบรนด์ ยังเป็นรอง MINISO
ยิ่งขยายยิ่ง “ถูก”
เดิมที MINISO มองเป้าหมายของตัวเองที่ 6,000 สาขา แต่มาถึงวันนี้ เป้าหมายได้ถูกขยับสูงขึ้นไปอีกที่ 10,000 ร้าน ใน 100 ประเทศ และมีเป้ายอดขาย 100 พันล้านหยวน ภายในปี 2022 และยิ่งมีสาขามากเท่าไหร่ MINISO ก็ยิ่งได้รับประโยชน์จาก Economy of Scale โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าแรงในประเทศจีนยังถูกอยู่แบบนี้ ยิ่งได้รับความร่วมมือจาก 2 ยักษ์ใหญ่ Tencent และ Hillhouse Capital ก็ยิ่งทำให้ MINISO เข้าใกล้ความฝันนี้มากขึ้น
Tencent มีชื่อเสียงในด้านของบริการเพิ่มมูลค่าให้กับบริการหลายอย่างผ่านอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งยังเป็นเจ้าของ social platform ขนาดใหญ่ที่สุดของจีน ทำให้มีข้อมูลของลูกค้าชาวจีนอยู่กว่า 100 ล้านคน ส่วน Hillhouse Capital เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นไปการลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน ตัวอย่างการลงทุนของ Hillhouse Capital คือบริษัทจำพวกนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี ที่มีผู้บริหารและทีมบริหารที่ดีที่สุดในการสร้างมูลค่าทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย
การเข้าร่วมกลยุทธ์การร่วมลงทุนกับ Tencent และ Hillhouse Capital ครั้งนี้เป็นเพราะ MINISO ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในอนาคต โดยที่ทั้ง 3 บริษัทจะร่วมพัฒนาการวิเคราะห์ big data ร้านค้าอัจฉริยะ ร้านค้าปลีกยุคใหม่ และ การทำงานผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งเป็นเพียงแผนระยะกลางของ MINISO เท่านั้น และเติมเต็มส่วนที่ MINISO ขาดหายไป แต่จำเป็นเหลือเกินในยุคนี้ นั่นก็คือ Digital เมื่อยอดขายของ MINISO ตอนนี้มาจากร้านค้าแบบดั้งเดิมล้วนๆ ไม่มีการขายผ่าน E-Commerce เลย การจับมือกับ Tech Company ชั้นนำระดับโลกอย่าง Tencent จึงน่าจะช่วยให้เพิ่มยอดขาย หรือทำการตลาดผ่านช่องทางนี้ได้มากขึ้น ส่วน Tencent เองก็เสริมเขี้ยวเล็บในเรื่องร้านค้าแบบดั้งเดิม ที่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นชนชั้นกลาง หลากหลายเพศ และวัยของ MINISO ทำให้ Tencent เองได้ประโยชน์ไปด้วย