แม้ว่าจะอยู่ในสังเวียนเวทีดิจิทัลมาแค่สั้นๆ 4 ปีและกำลังก้าวสู่ปีที่ 5 นับนิ้วมือมีระยะเวลาน้อยนิด แต่ก็ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของวงการได้แล้ว หากเทียบกับพี่ใหญ่ของวงการ ช่อง 7 (ช่อง 35 HD) เบอร์ 1 และช่อง 3 (ช่อง 33 HD) เบอร์ 2 คงเรียกว่าทาบกันไม่ติด เพราะทั้ง 2 รายอยู่บนธุรกิจทีวีเมืองไทยมานานกว่า 40 ปี สิ่งที่ทำให้ MONO29 ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ได้ มาจากการความชัดเจนใน Positioning ของตัวเอง คือ การเป็นช่อง “หนังดี ซีรี่ย์ดัง” มากที่สุด
แต่ในการทำธุรกิจ เป้าหมายความเป็นผู้นำ คือ สิ่งที่ทุกรายต้องการอยู่แล้ว แต่จะทำได้ไหมคงเป็นอีกเรื่อง ซึ่งช่องนี้ก็ไม่ได้คิดต่างจากคู่แข่ง ยังอยากจะเป็นผู้นำเบอร์ 1 เหมือนกัน แต่วัดกำลังคู่แข่งอาจจะยาก ส่วนเบอร์ 2 ก็น่าจะมีลุ้น เพราะตอนนี้บางช่วงบางเวลาก็สามารถแซงหน้าช่อง 33 ได้บ้างแล้ว แต่ระยะเวลาการอยู่ในอันดับ 2 ยังไม่เสถียรมากพอ และช่วงห่างของเรตติ้งก็ยังไม่ไกลกันมากนัก จึงต้องขอสู้กันอีกทีในปี 2019 เพราะเตรียมกลยุทธ์และการตลาดไว้รอบด้าน
คุณพิชญ์ โพธารามิก ประธานกรรมการ บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารช่องทีวีดิจิทัล MONO29 เล่าว่า ในปีหน้าจะต้องทำการตลาดทีวีเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มจำนวนคนดูให้มากขึ้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลา เพื่อเป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดเบอร์ 2 ในธุรกิจทีวีดิจิตอล แม้ว่าปัจจุบันอยู่อันดับ 3 แต่ถือว่าเราพอใจ เพราะเพิ่งเข้าตลาดมาได้ 4 ปี ปัจจุบันเรตติ้งช่องเฉลี่ยอยู่ที่ 1.12 ส่วนอันดับ 2 เรตติ้งเฉลี่ย 1.5 และอันดับ 1 เรตติ้งเฉลี่ย 2.0 ในด้านรายได้ MONO29 ตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโต 20-30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 2,800-2,900 ล้านบาท และในอีก 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ถึง 5,000 ล้านบาทด้วย
“บางวันเราก็ชนะเขา แต่มันยังไม่สม่ำเสมอ เราต้องทำการตลาดไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลานิดหนึ่งในการให้คนทั่วประเทศเปิดช่องเรา เราทำธุรกิจก็ต้องการขึ้นที่ 1อยู่แล้ว แต่ได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” คุณพิชญ์ เล่าถึงเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัล
เป้าหมายสำคัญไม่ว่าจะเป็นด้านเรตติ้งเพื่อขยับสู่เบอร์ 2 และรายได้ที่จะมาเป็นกอบเป็นกำในปีหน้า นั้น MONO 29 มีกลยุทธ์อะไรบ้าง คงต้องมาดูกัน
ส่งหนังใหม่ลงจอเร็วขึ้น พร้อมฉายหนังแพ็คแบบมาราธอน
-ด้วยแนวคิด “UNIVERSE OF ENTERAINMENT” จึงต้องให้ความสำคัญด้วยการเพิ่มงบประมาณลงทุน ทั้งซื้อและผลิตคอนเทนต์อีก 20% จากปีนี้ใช้งบไป 1,000 ล้านบาท ปีหน้าคงเป็นตัวเลขราวๆ 1,200 ล้านบาท โดย 1,000 ล้านบาทใช้ซื้อหนังดี-ซีรี่ย์ดังจากต่างประเทศเช่นเคย และอีก 200 ล้านบาท จะใช้เพื่อผลิตหนัง-ซีรี่ย์ของตัวเอง แต่ละปีจะผลิตหนังฉายในโรงภาพยนตร์ปีละ 2-3 เรื่อง ซึ่งหนังและซีรี่ย์ที่ผลิตขึ้นมา ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งการนำเอามาฉายในช่อง MONO29 ผ่าน App MONOMAX หรือแม้การเอาออกขายในต่างประเทศก็ทำได้ด้วย
-การร่วมกับพันธมิตรค่ายหนังบางค่าย นำเอาหนังเข้ามาฉายในช่องเร็วขึ้น จากปกติต้องใช้ระยะเวลา 18 เดือนหลังจากหนังฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว แต่ปีหน้าจะย่นระยะเวลาเหลือเพียง 12 เดือน ทำให้คนดูหนังใหม่ๆ ผ่านช่อง MONO29 ได้เร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาหนังต่างๆ ดังกล่าวทำเรตติ้งให้กับช่องได้ถึง 3.0 เป็นช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
–THAILAND PREMIERE PACKAGE & MOVIE UNIVERSE PACK การจัดเอาหนังดังๆ แบบเรื่องเดียวและเรื่องแรก มาออกฉาย และจัดหนังภาคต่อมาฉายแบบต่อเนื่องทุกวันจนครบทุกภาค กลายเป็นกลยุทธ์การฉายหนังที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีในด้านเรตติ้งอย่างสูง อาทิ FAST&FURIOUS 1-7 ทำเรตติ้งเฉลี่ย 3.0 ซึ่งภาค 7 ทำเรตติ้งสูงสุดถึง 4.19
ลุย Online พาเหรด App ความบันเทิงส่งให้คนดู
ปัจจุบัน MONO29 สามารถเข้าถึงผู้ชมได้แล้ว 91% ซึ่งทางช่องไม่ได้ต้องการให้ผู้ชมติด “หนังดี-ซีรี่ย์ดัง” แค่บนจอทีวีเท่านั้น แต่ต้องการได้ภาพของ Branding ของช่องเพิ่ม จึงได้สร้างชุมชนของคนรักหนัง สิ่งที่สร้างขึ้นมาคือ App “MONO29” ที่สามารถรับชมรายการต่างๆ ได้เลย และยังมีฟังก์ชั่น Notification เพื่อเตือนเมื่อมีรายการหรือหนังที่ต้องการดูออกอากาศด้วย ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดแล้ว 3.5 ล้านดาวน์โหลด และยังมี Facebook ซึ่งพูดคุยเรื่องหนังและข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ 3.6 Follower เป็นการสร้างพลังและเชื่อมโยงกับทุกสื่อ
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทยังมี App ในกลุ่มที่สามารถเชื่อมโยงการทำการตลาดร่วมกันได้ โดยปัจจุบันมียอดผู้ดาวน์โหลด App ทั้งหมดแล้วกว่า 6.9 ล้านดาวน์โหลด แบ่งเป็นกลุ่ม Media App มียอดดาวน์โหลด 4.4 ล้านดาวน์โหลด ได้แก่ MONO29, MONO Fresh 91.5 FM, MThai Video และ SEEME กลุ่ม Service Ap มียอดดาวน์โหลด 2.5 ล้านดาวน์โหลด ได้แก่ MONOMAX, MBOOKSTORE, Horo Live, TUTOR ME และ Light x Shadow
ชูกลยุทธ์ Sport & Event ทั้งคอนเสิร์ต-บาสเก็ตบอล
นอกจาก Content ด้านความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นหนังหรือเพลงแล้ว MONO29 ยังบุกคอนเทนต์ด้านกีฬาด้วย ทั้งการจัดแข่งขันและการถ่ายทอดสดการแข่งขัน โดยเฉพาะกีฬาบาสเก็ตบอล ถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อให้กับช่องเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีกีฬาเซปักตะกร้อ และมวย ที่ทางช่องได้จัดและถ่ายทอดสดด้วย ขณะเดียวกัน MONO29 ยังมีสถานที่จัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมอีเวนต์ต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย เช่น Stadium29 ซึ่งที่ผ่านมาจัดงานให้กับลูกค้า 7 คอนเสิร์ต ปีนี้น่าจะจัดจำนวน 12 คอนเสิร์ต และปีหน้าคาดว่าจะจัดได้ถึง 26 คอนเสิร์ต หรือแม้แต่การนำเข้าหนังจากต่างประเทศมาฉายในโรงภาพยนตร์ปีละ 10-12 เรื่อง ก็ยังมีการจัดอีเวนต์ร่วมกับแบรนด์สินค้า ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมพรีวิวหนัง หรือมีทแอนด์กรี๊ด เป็นต้น
ลงสนาม TV Shopping ขนสินค้าขายเพิ่มยอด
การเพิ่มโอกาสและรายได้จากธุรกิจใหม่ ได้แก่ MONOMAX ซึ่งเป็นการบอกรับสมาชิกในการรับชมคอนเทนต์หนังและซีรี่ย์ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น มีคนสมัครสมาชิกแล้ว 100,000 ราย ปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ราย MONOMAX มีหนังและซีรี่ย์กว่า 5,000 เรื่อง จำนวนกว่า 20,000 ชั่วโมง ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 25,000 ชั่วโมง รวมถึงการทำแคมเปญร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ธุรกิจ TV Shopping ได้เริ่มทดลองช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าสามารถทำยอดขายได้วันละกว่า 100,000 บาท จากการนำสินค้ากลุ่มเครื่องครัวมาขาย โดยออกอากาศวันละ 2-4 นาที ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเพื่อสร้างรายได้ โดยจะเป็นสินค้าเชื่อมโยงกับจุดยืนของช่อง เป็นกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับหนังและซีรี่ส์ เช่น หนังสือบ๊อกเซ็ท แฮรี่พอร์ตเตอร์ เป็นต้น
ผนึกทุกสื่อในเครือ เติมเต็ม CUSTOMER JOURNEY
การมีสื่อทีวี สื่อออนไลน์ และกิจกรรมการตลาด สิ่งที่ MONO29 ต้องทำเพื่อไปสู่เป้าหมาย คือ การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อเติมเต็ม CUSTOMER JOURNEY เพราะพฤติกรรมของคนจะซื้อของสัก 1 ชิ้นจะคิดมากกว่าอดีต โดยมักจะหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ อ่านรีวิว ทำให้นักการตลาดต้องเข้าอยู่ในทุกช่วงจังหวะการเดินทางของผู้บริโภค ซึ่ง MONO29 มีสื่อซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าในการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก แบรนด์หรือสินค้าต่างๆ สามารถจะใช้บริการของบริษัทได้ทั้งหมด เช่น เว็บ MThai มีผู้ชมปีละ 3,000 ล้านวิว สามารถเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าหรือแบรนด์ต่างๆ ได้จำนวนมาก การ Sport Marketing หรือ Music Marketing ที่แบรนด์หรือสินค้าสามารถเข้ามีส่วนรวมได้เช่นกัน
ผู้ชมของช่องในหนึ่งชั่วโมงมี 4.9 ล้านคน มีคนเห็นโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย 3.2 ล้านคน ซึ่งคิดเพียง 20% จากจำนวนคนติดตาม 16 ล้านคน หรือถ้าลงแบรนด์เนอร์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ จะเห็น 1 ล้านคน และยังมีระบบแจ้งเตือนผ่านแอพที่คนดาวน์โหลดไว้ 6.9 ล้านดาวน์โหลด หากเห็นและเปิดเข้าไปดู 30% ก็จะมีคนได้รับข่าวสารผ่านแอพอีก 2 ล้านคนด้วย ถือว่าเป็นการสื่อสารในเครือทั้งหมด ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเห็นแคมเปญของแบรนด์ได้ด้วย
“เราไม่ได้มองธุรกิจทีวีอย่างเดียวแล้ว เรามองรูปแบบออนไลน์ด้วย เพราะวิธีการเสพสื่อของคนปัจจุบันมันเริ่มเปลี่ยน ที่ผ่านมาสื่อทีวีก็แย่งเงินกันเอง ความจริงเม็ดเงินไม่ได้ลด เราไปปล่อยเงินตรงนี้ไปที่ยูทูป เฟซบุ๊ก ซึ่งไปต่างประเทศ จริงๆเม็ดเงินโฆษณาไม่ได้น้อยลงแต่มันไปต่างประเทศ มูลค่าเป็น 10,000 ล้านบาท ดีไม่ดีปีนี้จะเป็น 20,000 ล้านบาท ตรงนี้สื่อในประเทศถ้าไม่ช่วยกันเงินจะไปต่างประเทศ และสิ่งที่เราพยามคิดสื่อออนไลน์มันไม่ควรเป็นคู่แข่งกับช่อง มันควรจะเป็นพันธมิตรด้วยกัน และเรามีออนไลน์อยู่แล้วระดับหนึ่ง ถ้าเอามาทำให้เกิดประโยชน์ขึ้น แทนที่จะมาแข่งราคากันสุดท้ายก็ตายกันหมด เรามองว่าไม่ต้องลดราคาค่าโฆษณา แต่เรามีบริการเสริมอื่นๆ เพื่อให้เกิดมูลค่ามากขึ้น” คุณพิชญ์ เล่าถึงการแนวคิด Total solution