แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศยังมีดีมานด์มากพอจะสร้างการเติบโตให้กับดีเวลลอปเปอร์ได้ แต่การมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ไทยไม่ได้ละเลย โดยเฉพาะการออกไปแสวงหาโอกาสทางการตลาดนอกประเทศไทย เพราะหากวัดพละกำลังและความสามารถของคนไทย ไม่ได้แพ้ชาติใด ช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงเห็นผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในตลาดอสังหาฯ เมืองนอกเพิ่มมากขึ้น
บิ๊กโปรเจ็กต์หนึ่งที่น่าสนใจและจับตามองของคนไทย กับการไปปักหมุดประเทศมัลดีฟส์ พัฒนาโครงการ “ครอสโร้ดส์ (CROSSROADS)” ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) การพัฒนาโครงการแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนครบวงจร มูลค่า 22,000 ล้านบาท
ทำไมต้องมัลดีฟส์
ต้องยอมรับว่าชื่อเสียงของมัลดีฟส์ ในเรื่องแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนทางทะเล ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวในลำดับต้นๆ และเชื่อว่าอยู่ในใจใครหลายคนที่นึกถึงหากจะเที่ยวเมืองทางทะเล โดยเฉพาะกลุ่มคู่รักหรือฮันนีมูน ปัจจุบันโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์น่าจะมีประมาณ 200 แห่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยว เฉพาะปี 2559 มีท่องเที่ยว 1.7 ล้านคน ผ่านไป 2 ปีตัวเลขคงใกล้ 2 ล้านคน และที่ผ่านมารัฐบาลมัลดีฟส์ได้วางแผนลงทุนประมาณ 800 ล้านดอลล่าร์ ก่อสร้างเทอร์มินอลแห่งใหม่ของสนามบิน เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่อย่าง A380 ได้ หลังจากเแล้วเสร็จ จะรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7.5 ล้านคนต่อปี
สำคัญกว่าปริมาณ คือ คุณภาพของนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นระดับ “ลักชัวรี่” พร้อมจะใช้จ่ายเงินต่อแพ็คเกจหลายหมื่นบาทถึงระดับแสนบาทต่อคน เพราะดูจากระดับดาวของโรงแรมที่พัฒนา แบบขี้เหร่ๆ ก็ 4 ดาวแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ 5-6 ดาว รูปแบบ “พูลวิวล่า” แม้ระยะหลังๆ มารัฐบาลของมัลดีฟส์จะขยายตลาดนักท่องเที่ยวแบบจับทุกกลุ่ม จึงมีโรงแรมระดับต่ำกว่า 4 ดาวเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ตัวเมืองหลวง หรือฝั่งแลนด์ ไม่ได้พัฒนาอยู่บนเกาะ ที่สำคัญนโยบายของมัลดีฟส์ให้นักลงทุนพัฒนาโรงแรมได้ “หนึ่งเกาะหนึ่งรีสอร์ท” เท่านั้น ซึ่งมัลดีฟส์มีจำนวนเกาะอยู่ประมาณ 1,190 เกาะ แต่มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 200 เกาะเท่านั้น
คุณธีระชาติ นุมานิด กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริการการออกแบบและก่อสร้าง บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ประเทศมัลดีฟส์ คือ “One Wish” ของนักท่องเที่ยว ซึ่งสักครั้งหนึ่งต้องมาเยือน แม้แต่เศรษฐีต่างๆ ในตะวันออกกลางยังเดินทางมา หากเดินทางจากประเทศไทยก็ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง จากประเทศจีนก็ประมาณ 8 ชั่วโมงเท่านั้น ปริมาณโรงแรมในมัลดีฟส์ตอนนี้มีประมาณ 200 แห่ง ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว หรือแม้แต่โครงการของบริษัทแล้วเสร็จ ก็เชื่อว่ายังไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย
เมกะโปรเจ็กต์ใหญ่สุดในมัลดีฟส์
โครงการครอสโร้ดส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะสร้างใหม่จำนวน 9 เกาะ ภายใต้แนวคิด “หนึ่งเกาะต่อหนึ่งรีสอร์ท” โดยแต่ละเกาะจะนำเสนอประสบการณ์พักผ่อนสไตล์รีสอร์ทแตกต่างไป แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส ในเฟสแรก 3 เกาะเปิดให้บริการภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ส่วนเฟสที่ 2 ประกอบด้วยการก่อสร้างเกาะใหม่อีก 6 เกาะ คาดว่าจะเปิดได้ทั้งหมดภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งโครงการมีพื้นที่ขนาดยาว 7 กิโลเมตร และขนาดความกว้าง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาเลประมาณ 15 นาที และใช้ระบบการก่อสร้างแบบพรีคาสท์แห่งแรกในมัลดีฟส์
“ด้วยขนาดการลงทุนขนาดนี้ น่าจะทำให้โครงการนี้ใหญ่ที่สุดในแง่การลงทุนของมัลดีฟส์ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่บริษัทพัฒนาเองทั้งหมด ทั้งแนวคิด การออกแบบ การพัฒนา ก่อสร้าง และการทำตลาด จากที่ผ่านมาจะเป็นการซื้อโครงการมาพัฒนาต่อ หรือการซื้อกิจการ”
เปิดเฟสแรกไตรมาส 1 ปี 2562
ตามกำหนดเดิมเราจะได้สัมผัสโปรเจ็กต์ครอสโรดส์เฟสแรกในช่วงปลายปี 2561 แต่เนื่องจากโปรเจ็กต์มีส่วนเพิ่มเติมเข้ามา คือ คาเฟ่ เดล มาร์ (Cafe’ Del Mar) ทำให้ต้องเลื่อนกำหนดเปิดเฟสแรกไปในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งตอนนี้การก่อสร้างโครงการคืบหน้าแล้วประมาณ 60% โครงการในเฟสแรกนี้ใช้งบลงทุนประมาณ 10,100 ล้านบาท หรือ 311.5 ล้านดอลลาร์ ส่วนเฟส 2 ประมาณ 11,900 ล้านบาท หรือ 368.5 ดอลลาร์ รวมมูลค่าก็ 22,000 ล้านบาท
โปรเจ็กต์เฟสแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสนั้น ประกอบด้วยแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อน 3 เกาะ ได้แก่ เกาะแรก มีโรงแรมคูริโอ บาย ฮิลตัน จำนวนห้องพัก 198 ห้อง เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ พื้นที่สำหรับการพักผ่อน สันทนาการ อาทิ ท่าเรือยอร์ชหรูขนาดมาตรฐานโลก ร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม บีชคลับลักชัวรี มัลดีฟส์ ดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ หอประชุมอเนกประสงค์ ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเลและอนุรักษ์สัตว์ทะเล เป็นต้น ส่วนเกาะที่ 2 โรงแรมฮาร์ด ร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ จำนวนห้องพัก 178 ห้อง และเกาะที่ 3 พัฒนาเป็นไลฟ์สไตล์รีสอร์ทระดับ 5 ดาว รูปแบบ “ฮันนีมูน” เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคู่รัก ประมาณ 120 ห้อง
กว่าจะเห็นเป็นบิ๊กโปรเจ็กต์
ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มีธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศมี 2 แห่ง คือ โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีซ รีสอร์ท จำนวน 201 ห้อง และโรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จำนวน 77 ห้อง รวมถึงยังได้ลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่สหราชอณาจักรจำนวน 29 แห่ง จำนวนถึง 3,115 ห้อง ภายใต้แบรนด์ Mercure และ Holiday Inn โดยผ่านบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตทเข้าไปลงทุนในสัดส่วน 50% อีกด้วย
การเข้าไปลงทุนในมัลดีฟส์ เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด นโยบายของบริษัทจะขยายธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการร่วมทุน การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนเอง หลักเกณฑ์ก็พิจารณาจากทำเลที่ตั้ง ดีมานด์ ซัพพลาย ผลตอบแทนจากการลงทุน และศักยภาพในการเติบโต หลังจากพิจารณารอบด้านของตลาดท่องเที่ยวและโรงแรมในมัลดีฟส์ ทำให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นใหญ่ปีที่ผ่านมา ลงความเห็นชอบให้ลงทุนในโปรเจ็กต์นี้ โดยได้ทำการระดมทุนผ่านการออกและจำหน่ายหุ้น ได้เงินมา 1,664 ล้านบาท และยังออกหุ้นกู้เพิ่มให้กับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ มูลค่าอีก 180 ล้านดอลลาร์ด้วย
นอกจากนี้ บิ๊กโปรเจ็กต์นี้ยังได้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) สนับสนุนทางการเงินอีก 120 ล้านดอลลาร์ด้วย