ในเมืองไทย Samsung Galaxy A7 ซึ่งมีกล้องหลัง 3 ตัว รุ่นแรกของซัมซุง กำลังเปิดให้จองระหว่างวันที่ 18-25 ตุลาคมนี้ ด้วยสนนราคา 10,990 บาท แต่ที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย Samsung กำลังเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ Samsung Galaxy A 9 ซึ่งมีจุดเด่นกล้องหลัง 4 ตัว
กล้องทั้ง 4 ตัว ประกอบด้วย
– กล้องหลัก ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f1.7 Tetra Cell
– กล้องตัวที่ 2 เป็นเลนส์ Bokeh หรือชัดลึก-ชัดตื้น และเอาไว้ถ่าย Live Focus ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.2
– กล้องตัวที่ 3 Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสงขนาด f/2.4 เอาไว้ถ่ายภาพมุมไวด์ ซึ่งกว้างสุดได้ถึง 120 องศา
– กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Tele มาพร้อมความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4 Flash-LED
ความน่าสนใจของโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ นอกจากกล้องที่เรียงกันเป็นแผง สามารถถ่ายมุมมองได้หลากหลายยิ่งกว่าที่เคย ยังสะท้อนภาพอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือในยุคนี้ 2 ประการ
1.ผู้บริโภคมีความรู้เรื่องภาพมากขึ้นและคาดหวังว่ากล้องจากโทรศัพท์มือถือจะต้องสนองความต้องการของตัวเองได้
จากการเติบโตของกล้อง Mirrorless ที่ทำให้พกพาง่ายขึ้น ทำให้กล้องตัวเล็กแต่มีคุณสมบัติมากมายเพราะ “เลนส์” กลายเป็นอุปกรณ์ที่นักชิม นักเที่ยวถือไปไหนได้มากขึ้น รวมทั้งกล้องสมัยนี้ส่งภาพเข้ามือถือได้ง่ายมาก หรือมีอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่นๆ ที่ช่วยดึงภาพจากกล้องลงมือถือได้ในไม่กี่นาที ทำให้ภาพสวยๆ ถูกนำมาโชว์ในโซเชี่ยลมีเดียมากขึ้น และง่ายขึ้น ผู้ใช้งานถูกภาพสวยๆ เหล่านี้กระตุ้นความต้องการมากขึ้น
ดังนั้น โทรศัพท์มือถือจึงถูกคาดหวังในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ ซึ่งเดิมที่ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปตัวจริงทั้งหลาย เคยเชื่อว่ายังไงๆ คุณภาพของภาพที่มาจากโทรศัพท์มือถือไม่มีทางมาแทนที่กล้องตัวจริงได้ แน่นอน…ว่าสำหรับงานมืออาชีพ หรือคุณภาพเชิงลึก ไม่มีทางที่กล้องจากโทรศัพท์มือถือจะเทียบเคียงกล้องจริงๆ ไปได้ แต่ถ้าแค่โพสต์รูปลงโซเชี่ยลมีเดีย การที่โทรศัพท์มือถือ เริ่มมีกล้อง 4 ตัว ที่ติดเลนส์ 4 เพื่อรองรับการใช้งานแต่ละประเภท ด้วยหลักการแบบเดียวกับที่เลนส์ของกล้อง ผนวกกับเทคโนโลยี AI ที่ช่วยภาพภาพดีขึ้น แถมเป็นความดีขึ้นที่เรียนรู้มาจากการแต่งภาพของตัวเจ้าของเครื่องเองอีก อนาคต (หรือแม้แต่ปัจจุบัน) ของกล้องตัวจริงน่าจะเรียกได้ว่าโดน Disrupt ไปแล้ว และน่าจะเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
2. การแข่งขันของสมาร์ทโฟนขนาดกลาง สนามสำคัญไม่แพ้ตัวแพง
ในขณะที่ iPhone ตัวสเปคสูงสุด iPhoneXS Max 512 GB ราคาคาดการณ์เหยียบครึ่งแสน แล้วหลายคนบ่นว่าแพงๆๆๆๆ ส่วน iPhone XR ก็ราคาอยู่ที่ราวๆ 25,000 บาท หรือรุ่นก่อนหน้านี้ iPhone SE ราคาเปิดตัวก็อยู่ที่ประมาณหมื่นกลางๆ แต่หุ้นและผลประกอบการของ Apple ก็พุ่งขึ้น จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ นั่นแปลว่าสำหรับโทรศัพท์มือถือที่ราคาสูง เป็นพื้นที่ที่ Apple มีความแข็งแรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของ Value
สนามการแข่งขันของแบรนด์อื่นๆ ที่ด้านหนึ่งต้องอัพตัวเองให้ไปเทียบเคียงเจ้าตลาดให้ได้ เพราะยิ่งขายสินค้าราคาตัวไฮเอนด์ได้ มาร์จิ้นก็ยิ่งสูง แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องลุยสมาร์ทโฟนระดับกลางให้จริงจังมากขึ้น เพื่อแย่งมาร์เก็ตแชร์กับผู้เล่นรายอื่นๆ รวมทั้งการสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคที่ ณ วันนี้ซื้อโทรศัพท์ระดับกลาง ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาก็มีแนวโน้มจะเลื่อนไปใช้โทรศัพท์เรือธงของตัวเองก็ได้
ดังนั้น ในระยะหลังนี้ ความมันส์ของการแข่งขันของโทรศัพท์มือถือราคาระดับกลาง จึงมีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยเพิ่ม Volume การขายให้กับแบรนด์ รวมทั้งเข็นเอาเทคโนโลยีแปลกๆ ใหม่ๆ ลงมาลองตลาด ถ้าปั๊วะปังโดนใจตลาดก็พัฒนาต่อไปใช้กับรุ่นใหญ่ หรือเป็นแรงจูงที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม คุณสมบัติกันน้ำ คุณสมบัติแบตฯ อึด หรือแม้แต่กล้อง 3-4 ตัว จึงมีให้เห็นในโทรศัพท์มือถือเลเวลนี้