การเข้าสู่ศักราชของ 5G จะต้องทำความเข้าใจในศักยภาพการสื่อสารดิจิทัลที่ต่างจากเดิม เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ซึ่งแตกต่างจากการมาของเทคโนโลยีการสื่อสาร 3G และ 4G การมาถึงของ 5G จะไม่ใช่แค่กรณีของผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่จะเปลี่ยนอุปกรณ์โครงข่ายของตน หรือผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เพียงเท่านั้น แต่รวมถึงการมีส่วนร่วมทั้งอุตสาหกรรมสู่การเชื่อมต่อธุรกิจ ไม่เพียงแต่กับผู้บริโภค แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจอื่นด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนสู่กลยุทธ์ 5G ของไทย
ดีแทคได้ชี้วัดให้เห็นว่าการทำเกษตรกรรมเป็นความสำคัญหลักที่ 5G สามารถปลดล็อกมูลค่ามหาศาลให้แก่ประเทศไทยได้ กรณีนางสาวปคุณา บุญก่อเกื้อ หรือแก้ว เกษตรกรสาวเจ้าของบ้านสวนเมล่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยโซลูชัน “ฟาร์มแม่นยำ” ซึ่งถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Internet of Things เพื่อการทำเกษตรที่มีความแม่นยำที่เราพัฒนาขึ้น ทำให้เธอมีรายได้เพิ่มจากการทำเกษตรแล้วมากกว่าร้อยละ 20 วันนี้เมล่อนจากสวนของคุณแก้วเป็นที่ต้องการของตลาดสูง เช่น การบินไทยได้ติดต่อนำเมล่อนสดที่มาพร้อมกับรสชาติอร่อยไปเสิร์ฟให้กับผู้โดยสารในเที่ยวบิน และในขณะที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว แต่ 5G จะต้องทำให้คุณแก้วได้ทำผลิตผลจากเกษตรกรรมและมีรายได้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ ดีแทคได้พัฒนาและให้บริการเชิงพาณิชย์แอปพลิเคชันฟาร์มเมอร์อินโฟ (Farmer Info) ด้วยเทคโนโลยี AI และ Big Data ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลปัจจัยการเพาะปลูกแบบครบวงจรรายแรกๆ ของประเทศไทย ภายในแอปพลิเคชันประกอบด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น ข้อมูลที่ช่วยให้เกษตรกรรู้สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันในพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง ทำให้มีศักยภาพในวิเคราะห์สภาพการเพาะปลูกในแปลงอย่างแม่นยำจากภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อจัดการวางแผนเพาะปลูกได้ตรงจุดหรือแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ซึ่งดีแทคได้ร่วมมือกับรีคัลท์ สตาร์ตอัพในโครงการดีแทค แอคเซอเลอเรท และบริษัท รักบ้านเกิด พัฒนาขึ้นมา ด้วยเทคโนโลยี 5G จะทำให้เราสามารถใช้โดรนขึ้นบินตรวจสอบสภาพอากาศในพื้นที่แปลงเพาะปลูกโดยตรง และใช้วิดีโอสตรีมมิ่ง 360 องศาความละเอียดสูงไปยัง AI ในระบบคลาวด์จะทำให้ประมวลผลข้อมูลได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นซึ่งจะเพิ่มคุณภาพการเพาะปลูกและรายได้ให้กับเกษตรกร เช่น แก้ว บ้านสวนเมล่อน
5G ยังเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งที่รวดเร็วขึ้นลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความไว้ใจมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่ทำได้รวดเร็วและแม่นยำ ด้วยค่าความหน่วงของสัญญาณที่ต่ำ (Ultra-low latencies) และการตอบสนองที่เร็วของโครงข่าย 5G ทำให้ออกแบบโซลูชั่นส์ให้ยานพาหนะหรือรถบรรทุกสามารถสื่อสารระหว่างกันเพื่อเชื่อมต่อตั้งเป็นขบวนวิ่งไปบนทางร่วมกันในระยะใกล้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถลดค่าแรงเสียดทานของอากาศในการขับขี่ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลงถึงร้อยละ 12
เราเชื่อมั่นว่าดีแทคจะเป็นผู้นำสู่การทดสอบในโครงการต่างๆ ของประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ดีแทคและสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า)ได้ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบแจ้งพิกัดความแม่นยำของการระบุตำแหน่งด้วยเทคโนโลยี GNSS RTK เพื่อสนับสนุนสู่บริการ 5G โดยโครงการนี้ได้เริ่มทดลองปรับปรุงค่าส่งสัญญาณ 200 แห่งซึ่งมีพิกัดในสมาร์ทซิตี้ เมืองอัจฉริยะ ของไทยทั้ง 7 จังหวัด เช่น กรุงเทพ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง เพราะสมาร์ทซิตี้เป็นเมืองที่ใช้นำร่องในการทดลองใช้งานดิจิทัลรูปแบบใหม่ จึงต้องใช้ความแม่นยำสูงในการแสดงชุดพิกัดข้อมูลและต่อยอดสู่นวัตกรรม 5G นอกจากนั้นดีแทคได้นำ IoT สู่มาตรวัดอัจฉริยะ (Smart meter) จำนวน 8,000 แห่ง และการระบุพิกัดติดตามยานพาหนะ 100,000 คัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ดีแทคจะให้บริการสวิตช์บอร์ดอัจฉริยะ (Intelligent power switchboards)