ตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบัน สินค้าหลักที่ทำออกมาขายส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อตอบสนองความต้องการของคนยุคปัจจุบัน ที่มีวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ทำงานในเมือง รักอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเอง อยู่เป็นโสดหรือหากเป็นคู่รักก็จะอยู่กัน 2 คนไม่ได้มีลูก การอยู่คอนโดฯ จึงตอบโจทย์มากกว่า ที่สำคัญราคายังสามารถเอื้อถึงได้ นอกจากคอนโดฯ แล้ว สินค้าที่อยู่อาศัยแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแฝด ก็ถูกพัฒนาออกมาขายรองรับดีมานด์ ของคนที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เพราะบ้านที่มีลูกหรืออาจจะมีผู้สูงอายุมาอยู่ด้วย การใช้ชีวิตในห้องชุดคอนโดฯ จึงอาจจะไม่ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้
หนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย ประเภทแนวราบออกมาขายอย่างจริงจัง คือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ในเครือของเจ้าสัว “เจริญ สิริวัฒภักดี” ซึ่งปั้นโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแฝด โดยมองว่าเทรนด์ของการอยู่อาศัยในปี 2562 จะเป็น “บ้านในเมือง” เพราะคนไม่ต้องการใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน แต่การซื้อคอนโดฯ อาจจะไม่ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งแต่งงาน คนสร้างครอบครัวใหม่ หรือกำลังวางแผนมีลูก
“บ้านในเมือง”เทรนด์ที่อยู่อาศัยปี 2562
คุณแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า เทรนด์การอยู่อาศัยในปีหน้าจะมีความต้องการ “บ้านในเมือง” เพราะคนไม่อยากรถติดหรือต้องใช้เวลานานๆ อยู่บนถนน คนส่วนใหญ่จึงเลือกการซื้อคอนโดฯ ติดแนวรถไฟฟ้า เพื่อการเดินทางที่สะดวก แต่ความสำเร็จของโครงการคอนโดฯ จะอยู่เฉพาะในย่านใจกลางเมืองหรือพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น คอนโดฯ อยู่เขตปริมณฑลมักจะไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีมากนัก แม้ว่าโครงการจะใกล้รถไฟฟ้าก็ตาม
“คอนโดฯ ทำได้อย่างเดียวคือ กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ และขายได้เฉพาะลักชัวรี่ ตลาดคอนโดฯ จะเล็กลงโดยปริยาย เห็นชัดๆ แถวรัตนาธิเบศร์คอนโดฯ เดี้ยงหมดเลย”
พฤติกรรมของลูกค้าที่เห็นว่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคต คือ ความต้องการอยู่อาศัยในบ้านแฝดหรือทาวน์โฮม ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบาย ซึ่งระดับราคาระหว่างคอนโดฯ กับทางน์โฮมหรือบ้านแฝดจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ให้ความคุ้มค่าในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่า ทำให้ในปีหน้านี้ โกลเด้นแลนด์จะเปิดโครงการใหม่ 28 โครงการ มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท และมีแผนซื้อที่ดิน 30 แปลง ด้วยงบประมาณ 12,160 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายยอดขาย 34,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 14,600 ล้านบาท
“โกลเด้นแลนด์จะไม่พัฒนาคอนโดฯ แต่จะทำบ้านในเมือง จะไม่คิดซื้อที่ดินไกลๆ แน่นอน แต่จะซื้อที่ดินทำเลดีแม้ราคาสูงหน่อย เพราะถือว่าตอบโจทย์ความต้องการการอยู่อาศัยของคน ที่เบื่อการอยู่คอนโดฯ ที่สำคัญกรุงเทพฯ มีประชากรแฝง ไม่ได้มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ มีจำนวนเยอะมาก กลุ่มคนพวกนี้เมื่อเรียนจบหรือทำงานในกรุงเทพฯ เมื่อมีเงินก็มักจะซื้อทาวน์โฮม เพราะตอบสนองความต้องการเขาได้ ทั้งในเรื่องพื้นที่และราคา”
7 กลยุทธ์สร้างยอด 33,000 ล้าน
สำหรับแนวทางธุรกิจในปี 2562 ของโกลเด้นแลนด์ ได้เตรียมขยายตลาดบ้านในเมืองเพิ่มมากขึ้น ผ่าน 7 กลยุทธ์สำคัญ คือ
1.เดินหน้า นีโอโฮม (NEO Home)
นีโอโฮม คือ บ้านที่ไม่ได้จำกัดว่าเป็นบ้านเดี่ยวหรือบ้านแฝด แต่เป็นบ้านภายใต้แนวคิด “สวย ครบ คุ้ม และใกล้เมือง” มีระดับราคา 4-6 ล้านบาท มีฟังก์ชัน ความสวยงาม และสิ่งอำนวยความสะดวก เทียบเท่าบ้านระดับราคาแพง เป็นตลาดที่จะเข้ามาทดแทนความต้องการบ้านเดี่ยวในเมืองราคา 7-10 ล้านบาท
2.ขยายตลาดและเพิ่มโครงการ ทาวน์โฮม (Townhome)
ขยายตลาดโครงการทาวน์โฮม ซึ่งเป็นแฟลกซ์ชิพของบริษัท ทั้งจำนวนและทำเล โดยมีแผนเปิดโครงการทาวน์โฮม อีก 13 โครงการ พร้อมบุกทำเลใหม่ๆ อาทิ กรุงเทพฯ โซนเหนือ และกรุงเทพฯ โซนตะวันออก
3.สร้างรายได้บ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น
ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงมีความต้องการ ในปี 2562 บริษัทปรับเป้ารับรู้รายได้ ของบ้านเดี่ยวจาก 4,000 กว่าล้านบาท ในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 25% เป็น 5,000 ล้านบาท ในปีหน้า โดยจะมีการขยายตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-10 ล้านบาท ในทำเลเมืองชั้นใน อาทิ รามอินทรา ศรีนครินทร์ บางแค และเพชรเกษม เป็นต้น
4.ขยายตลาดซิตี้โฮม (City Home)
ซิตี้โฮม คือ บ้านที่เน้นทำเลในเมือง ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคมองหาบ้านทำเลในเมือง ซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก บริษัทจึงเริ่มคิดค้นหาแนวทางเพื่อจัดสรรบ้านในเมือง ให้เป็นซิตี้โฮมที่แท้จริงไว้รองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว หรือ บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม แต่เป็นบ้านที่มีฟังก์ชันครบตาม และอยู่ในเมือง อาทิ ย่านสาทร พระราม 3 ลาดพร้าว และแจ้งวัฒนะ เป็นต้น กำหนดราคาขาย 10-20 ล้านบาท
5.ขยายตลาดต่างจังหวัด
จาก 2 โครงการในต่างจังหวัดที่ได้เปิดการขายไปแล้ว คือ โกลเด้น ทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ และ โกลเด้น ทาวน์ อยุธยา มียอดขายและรับรู้รายได้เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ตลาดจะไม่หวือหวาเท่าที่กรุงเทพฯ แต่มีแนวโน้มที่ดีจึงเปิดเพิ่มขึ้นอีก 5 โครงการ อาทิ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เชียงราย เป็นต้น โดยพิจารณาทำเลจาก เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ ECC ย่านเมืองอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาโครงการร่วมกับพื้นที่ของ Big C เป็นต้น
6.FULL EMPIRE เปิดครบอาณาจักร โกลเด้น เอ็มไพร์
ยอดรับรู้รายได้จากโครงการต่าง ๆ ในอาณาจักร โกลเด้น เอ็มไพร์ ทั้ง 3 แห่ง คือ ลาดพร้าว บางแค และสาทร ที่ขายดีขายหมดในปีนี้ จะมารับรู้รายได้ในปี 2562 บริษัทจึงมีแผนเปิดเพิ่มที่ สาทร บางแค ลาดพร้าว แจ้งวัฒนะ และเชียงราย
7.พัฒนาระบบรองรับการเติบโต
บริษัทมีแผนพัฒนานวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด Make It Better, Do It Faster “พัฒนานวัตกรรม พัฒนาระบบ ให้ดีกว่าและเร็วยิ่งขึ้น” เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท
“บ้านแฝด”ความคุ้มค่าในราคาที่เท่ากัน
ที่อยู่อาศัยประเภท “บ้านแฝด” เคยเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเมื่อ 30 ปีก่อนหน้านี้ ดีเวลลอปเปอร์มีการพัฒนาบ้านแฝดออกมาขายเป็นจำนวนมาก เพราะถือว่ามีโอกาสทางการตลาดและเป็นช่องว่างทางการตลาด ระหว่างคนที่อยากได้บ้านเดี่ยว มีพื้นที่ใช้สอยมาก แต่อาจจะมีงบประมาณจำกัด และไม่อยากอยู่ทาวน์เฮ้าส์ แต่บ้านแฝดได้ถูกพัฒนาน้อยลงเพราะราคาที่ดินแพงขึ้น การทำราคาจึงเข้ามาใกล้เคียงกับบ้านเดี่ยว ตลาดเลยหดตัวลง แต่ปัจจุบันตลาด “บ้านแฝด” ไม่ได้หายไป ยังมีผู้ประกอบการพัฒนาออกมาขายบ้าง แต่สัดส่วนการพัฒนามีจำนวนน้อยลงกว่าอดีตมาก คาดว่าจะเหลือไม่ถึง 5% ของตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน
โกลเด้นแลนด์ มองเห็นว่าตลาดบ้านแฝด เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่กำลังจะเข้ามาทดแทนตลาดคอนโดฯ ในทำเลใกล้กับย่านใจกลางเมือง เพราะมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า แต่ราคาใกล้เคียงหรือเท่ากับคอนโดฯ ในทำเลเดียวกัน จึงได้ให้ความสำคัญกับการทำตลาดบ้านแฝดด้วย เพราะหากดูตัวเลขการเติบโตของกลุ่มบ้านแฝด ถือว่าสูงกว่าที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ โดยซัพพลายสะสมบ้านแฝดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาสแรกของปีนี้ มีการเติบโตถึง 13% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 126,934 ล้านบาท รองลงมาเป็นตลาดทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 411,522 ล้านบาท เติบโต 9% บ้านเดี่ยวมีมูลค่า 663,743 ล้านบาท เติบโต 8% และคอนโดฯ มีมูลค่า 1,047,217 ล้านบาท เติบโต 2%
“กลุ่มบ้านแฝดในตลาดน่าจะมีซัพพลายไม่เกิน 5,000 ยูนิต ในปีหน้าน่าจะเพิ่มเข้ามาอีก 5,000 ยูนิต และมีโอกาสถึง 10,000 ยูนิต เป็นตลาดที่มีความต้องการ เพราะหากซื้อคอนโดฯ ตารางเมตรละแสน อาจจะได้พื้นที่ 30 ตารางเมตร แต่ในราคาที่เท่ากัน จะได้พื้นที่บ้านสองเท่าตัว”