HomeBrand Move !!เบื้องหลัง ‘กลุ่มกระทิงแดง’ เลือกเวียดนามตั้งฐานทัพนอกประเทศครั้งแรก พร้อมทำความรู้จักตลาดเวียดนามให้มากขึ้น

เบื้องหลัง ‘กลุ่มกระทิงแดง’ เลือกเวียดนามตั้งฐานทัพนอกประเทศครั้งแรก พร้อมทำความรู้จักตลาดเวียดนามให้มากขึ้น

แชร์ :

หลังประกาศแผนขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 5 ปี (นับจากปี 2560) ด้วยการพิชิตตัวเลขยอดขายของทั้งกรุ๊ปให้แตะระดับ 1 แสนล้านบาท รวมทั้งการทำให้กลุ่มธุรกิจ TCP หรือกลุ่มธุรกิจในเครือกระทิงแดง กลายเป็น House of Brands ด้วยการมีแบรนด์สินค้าที่หลากหลายและทรงพลังทำตลาดอยู่ในหลายประเทศ ทำให้แต่ละก้าวของกลุ่ม TCP จากนี้จำเป็นต้องก้าวให้ยาวและเพิ่มสปีดความเร็วให้มากยิ่งกว่าเดิม เพราะหากจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ต้องสร้าง Growth ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 25% ในแต่ละปี  

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ปัจจุบันกลุ่ม TCP ดำเนินธุรกิจในกลุ่มเครื่องดื่มและสแน็คทั้งในและต่างประเทศรวม 15 ประเทศ พร้อมทั้งส่งออกสินค้าไปทำตลาดทั่วโลกอีกกว่า 170 ประเทศ รวมทั้งยังเป็นเจ้าของสินค้า 8 แบรนด์ ใน 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ภายใต้แบรนด์ กระทิงแดง, เรดดี้ โสมพลัส และวอริเออร์ กลุ่มเครื่องดื่มเกลือแร่ สปอนเซอร์ กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลดริ้งค์ แมนซั่ม กลุ่มชาพร้อมดื่ม เพียวริคุ  เมล็ดทานตะวันซันสแน็ค และกลุ่มหัวเชื้อเครื่องดื่มอย่าง เรดบูลรสดั้งเดิม ซึ่งในแต่ละปีจากนี้น่าจะได้เห็นแบรนด์ใหม่ๆ จากกลุ่มกระทิงแดงเพิ่มมากขึ้น โดยยังคงเน้นทำตลาดภายในกลุ่มเครื่องดื่มและสแน็คเป็นหลัก แต่หนึ่งกลุ่มสินค้าที่ทางกลุ่มกระทิงแดงยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่เข้าไปทำตลาดอย่างแน่นอนก็คือ เครื่องดื่มในกลุ่มแอลกอฮอลล์ ตามนโยบายของผู้ก่อตั้ง

ขณะที่เป้าหมายที่จะก้าวไปสู่การเป็น House of Brands สิ่งสำคัญที่สุดคือ จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในความแตกต่างทั้งของสภาพตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง ทำให้อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่จะสามารถเดินไปตามโรดแม็พ 5 ปีที่วางไว้ได้ก็คือ การเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศอย่างจริงจังมากกว่าการทำงานแบบ Remote Operation แบบที่ผ่านมา ดังนั้น อีกหนึ่งความตั้งใจของ TCP ก็คือ การเปิดสำนักงานแห่งใหม่ หรือโรงงานแห่งใหม่ในต่างประเทศให้ได้อย่างน้อยปีละ 1 แห่ง ใน 1 ประเทศ เพื่อศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นในการทำตลาดและการทำความเข้าใจผู้บริโภคในแต่ละประเทศนั่นเอง

ปักธงเวียดนาม ฐานกำลังสำคัญแห่งใหม่   

การขับเคลื่อนครั้งล่าสุดของกลุ่ม TCP ก็คือ การเปิดสำนักงานในต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเลือกปักฐานที่มั่นหลักอยู่ใน “เวียดนาม” หนึ่งในตลาดที่ Red Bull แข็งแกร่งจนสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดเหนือผู้เล่นจากนานาประเทศซึ่งมีนับ 10 แบรนด์ได้สำเร็จ ภายในนาม บริษัท TCPVN จำกัด ที่มีกลุ่ม TCP ถือหุ้น 100%

คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ให้เหตุผลสำคัญที่นำมาสู่การตัดสินใจเลือกเวียดนามเป็นฐานกำลังสำคัญแห่งใหม่นี้ ซึ่งถือเป็นฐานบัญชาการรบที่อยู่นอกประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดสำนักงานและสร้างทีมงานในต่างประเทศขึ้นที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยมีสาเหตุหลักๆ 5 ปัจจัย ประกอบด้วย

คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP

1. ในมุมของผู้บริโภค ด้วยไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ที่คนเวียดนามมีต่อการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง ไม่ต่างจากการดื่มเครื่องดื่มเพื่อดับกระหายทั่วไป เหมือนกับการดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลม ที่สามารถดื่มไปพร้อมๆ กับมื้ออาหารได้ โดยมีฟังก์ชันเรื่องของการให้พลังงานมาเป็นตัวเสริม ไม่ได้มองว่าเป็นเครื่องดื่มของกลุ่มคนใช้แรงงานเหมือนในประเทศไทย แต่ทุกคนทั้งหญิง-ชาย วัยรุ่น คนทำงาน ต่างก็ดื่ม เนื่องจาก

ลักษณะพิเศษเฉพาะของคนเวียดนามที่เป็นคนขยัน ทำงานหนัก หลายๆ คนทำงานมากกว่าหนึ่งอย่าง ทั้ง Day Job ที่เป็นงานประจำ และงานเสริมที่เรียกว่า Passion Job ทำให้ต้องการเครื่องดื่มที่ให้พลังงานมาเสริมกำลังให้ร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะ Energy Drink ที่คนเวียดนามมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่สามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มความฝันและความหวังให้เป็นจริงได้ 

2. โอกาสจากสภาพและขนาดของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในเวียดนาม ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชีย รองจากจีน และยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยมีมูลค่าราว 1 ใน 4 ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมในเวียดนาม หรือกว่า 25,000 ล้านบาท มากกว่าไทยที่ตลาดเริ่มนิ่งและมีมูลค่าที่ราวๆ 23,000 ล้านบาท ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในช่วงของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น และมีการขยายตัวของจำนวนประชากร โดยเฉพาะในกลุ่ม Middle Income ทำให้ดีมานด์ในการบริโภคสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีโอกาสเติบโตได้สูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ พฤติกรรมในการเลือกบริโภคสินค้าที่จะมองจากความต้องการและคุณภาพเป็นหลัก โดยที่เรื่องของราคาเป็นปัจจัยตามมาในอันดับรองๆ

3. เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตย้อนหลังของยอดขายสินค้า TCP ในตลาดเวียดนาม พบว่ามีการเติบโตในระดับสูงมาก เฉลี่ยกว่า 25% มาตลอด 5 ปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังโดยรวมที่โตปีละ 6% ทำให้มองว่าการเข้ามาตั้งสำนักงานในเวียดนามเพื่อทำตลาดอย่างจริงจัง จะช่วยให้สามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันในตลาดที่มีแบรนด์ Energy Drink จากนานาประเทศทั้งญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา รวมทั้งจากไทยเข้ามาแบ่งเค้กไม่ต่ำกว่าสิบแบรนด์ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างรวดเร็ว การบัญชาการในรูปแบบ Remote Operation เหมือนที่ผ่านมา จึงไม่น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญอยู่มากนัก

4. เนื่องจากตลาดเวียดนามเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพสินค้า สอดคล้องกับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของ TCP ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพจากตลาดทั่วโลก ทั้งคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์เองหรือบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม ดูมีความพรีเมียม ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดเวียดนาม ที่สำคัญยังช่วยสร้าง Perception ในกลุ่มผู้บริโภคชาวเวียดนามว่า ประเทศไทยมีความแข็งแรงในกลุ่มสินค้า Energy Drink จนทำให้กลุ่ม TCP สามารถปั้นแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานแบรนด์ใหม่เพื่อทำตลาดในเวียดนามโดยเฉพาะอย่างวอริเออร์ (Warrior) ที่ทำมาตลาดมาได้เพียง 3 ปี ก็สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ Top 5 ในตลาดได้เป็นผลสำเร็จ โดยสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของเวียดนามได้แล้ว 5%

5. จากความคุ้นเคยที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์เครื่องดื่มกระทิงแดงหรือเรดบูล (Red Bull) โดยมีชื่อที่ชาวเวียดนามเรียกกันในท้องถิ่นว่า “บ่อฮุก” แปลความหมายได้ว่า “กระทิงขวิด” ตามลักษณะของโลโก้ที่มองเห็น เพราะทำตลาดในเวียดนามมานานถึง 30 ปี และได้รับการตอบรับและการสนับสนุนจากผู้บริโภคในเวียดนามมาอย่างดี จึงมีความแข็งแกร่งทั้งในเรื่องของ Branding รวมทั้งยอดขายที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด Energy Drink ของเวียดนามได้สำเร็จ จึงมองว่าถึงเวลาแล้ว ที่กลุ่ม TCP จะเข้ามาตั้งสำนักงานและสร้างทีมงานใน Local เพื่อดำเนินธุรกิจในตลาดเวียดนามอย่างเข้มข้นและจริงจังมากยิ่งขึ้น

ทำความรู้จักตลาด “เวียดนาม”

นอกจาก 5 เหตุผลข้างต้น ในมุมของปัจจัยภายในหรือจุดแข็งของ TCPVN ที่เป็นแต้มต่อในการบุกตลาดเวียดนามแล้ว ยังมีปัจจัยหนุนจากความโดดเด่นของเวียดนามเอง ไม่ว่าเป็นการมองจากขนาดของประชากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ภายในประเทศ หรือการเปิดรับ เรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ของผู้คนในประเทศ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนถึงการเริ่มต้นสร้างฐานทัพใหญ่นอกประเทศไทยครั้งแรกของกลุ่ม TCP ในครั้งนี้ว่า “ทำไมต้อง เวียดนาม?”

คุณวัสนัย กฤษอร่ามเรือง ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจ TCP

– เริ่มจากความโดดเด่นจากจำนวนประชากรในประเทศที่มีมากกว่าตลาดในไทยถึง 30 ล้านคน ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 96 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ลำดับที่ 14

– รวมทั้งยังเป็นประเทศลำดับที่ 34 ที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยมีมูลค่า GDP ที่มากกว่า 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดอัตราการเติบโตของ GDP ในสิ้นปีนี้ที่ 6.8%

– การมีระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเร็วที่สุดเป็นลำดับที่ 5 ของเอเชีย รวมทั้งยังมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนสูงที่สุดเป็นลำดับที่ 10 ของโลกอีกด้วย

– ด้านกำลังในการซื้อจากรายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 6,435 เหรียญสหรัฐ ขณะที่อายุเฉลี่ยของประชากรส่วนใหญ่ยังอยุ่ในช่วง 30 ปีต้นๆ เมื่อเทียบกับไทยหรือญี่ปุ่นที่เริ่มเคลื่อนตัวสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งอัตราการอ่านออกเขียนได้ของคนเวียดนามยังสูงถึง 95% ที่สำคัญ คือลักษณะนิสัยของคนเวียดนามที่ค่อนข้างขยันไม่ได้ต่างจากคนจีนในยุคก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาหรือการทำงาน ที่สำคัญเวียดนามยังมีเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจมากถึง 6 เมือง นอกจากฮานอย และโฮจิมินห์แล้ว ยังมีดานัง ไฮฟอง เกิ่นเทอ และญาจาง

“ลักษณะการค้าขายของเวียดนามก็ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองหลวง เพราะจำนวน Volume ยอดขายสินค้าในเวียดนามกว่า 57% มาจากต่างจังหวัด และสัดส่วนจากเมืองหลวงอยู่ที่ 43% ขณะที่รูปแบบการค้าขายการบริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า FMCG ยังมีความอนุรักษ์นิยมและมีความเฉพาะตัว ส่วนใหญ่ยังเน้นช่องทางแบบ Traditional Trade ไว้ถึง 80% โดยเฉพาะความน่าสนใจของวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารตามร้านค้าข้างทาง ด้วยการตั้งเก้าอี้เตี้ยๆ ไว้ริมถนนที่จะพบเห็นได้ทั่วไป และรองรับทุกกลุ่มทั้งคนทำงานออฟฟิศหรือกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคในเวียดนาม”  

หนึ่งสิ่งที่สะท้อนว่า TCP มีความเข้าใจตลาดเวียดนามเป็นอย่างดี เมื่อสามารถแจ้งเกิดแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังน้องใหม่อย่างวอริเออร์  (Warrior) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทำตลาดในเวียดนามโดยเฉพาะ ในรูปแบบของ Casual Energy Drink ที่มีส่วนผสมของคาร์บอเนตสำหรับดื่มเพื่อดับกระหายและเสริมด้วยฟังก์ชั่นของการให้พลังงาน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในโปรดักต์สำคัญที่ช่วยทำให้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังขยับไปใกล้กับน้ำอัดลมจากการมีฐานผู้ดื่มที่ใกล้เคียงหรืออาจจะเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยหลังจากทำตลาดมาได้เพียง 3 ปี ก็สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ Top 5 ในตลาดได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดเครื่องดื่มของเวียดนาม ระหว่างกลุ่มที่ใช้ดื่มเพื่อดับกระหายอย่างน้ำอัดลม และเครื่องดื่มให้พลังงานอย่าง Energy Drink ที่ยังไม่มีผู้เล่นรายใดเข้ามาทำตลาดนี้ ทำให้วอริเออร์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและเติบโตในตลาดได้อย่างรวดเร็ว

ที่สำคัญยังมาจากการเดินเกมทั้งในเรื่องของการทำตลาดอย่างถูกช่องและสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนในเวียดนาม รวมทั้งการสื่อสารแบรนด์อย่างแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะการสื่อสารที่เน้นเรื่องของ Emotional มากกว่าเรื่องของฟังก์ชั่นสินค้าซึ่งเป็น Basic Need ของผลิตภัณฑ์และเป็นที่รับรู้ของผู้บริโภคอยู่แล้ว ทำให้เลือกที่จะพูดในมิติอื่นๆ และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดี รวมทั้งการทำตลาดในต่างประเทศซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เวียดนามแต่รวมไปถึงทุกประเทศในโลก ที่ล้วนแต่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณการดื่ม Energy Drink ในแต่ละวัน มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่มีข้อจำกัดนี้ ทำให้โอกาสในการเติบโตจากตลาดต่างประเทศยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก

เสริมแกร่งทุก Key Success Factors

นอกจากการเข้ามาตั้งสำนักงานและเซ็ตทีมงานแบบจัดเต็มทั้ง R&D Marketing รวมทั้ง Distribution เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำตลาดของ TCPVN ให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว กลุ่ม TCP ยังควักกระเป๋าลงทุนในเวียดนามเพิ่มเติมอีก 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการทำตลาดตลอด 3 ปีข้างหน้านี้ โดยเฉพาะการเสริมความแข็งแรงใน 3 ขาหลัก ซึ่งเป็น Key Success Factor ที่เรียกว่าได้เป็นจุดชี้ขาดความสำเร็จในธุรกิจ F&B เพื่อเสริมให้แต่ละส่วนมีความแข็งแรง และทำงานได้อย่างสอดคล้องกับสถานการณ์แข่งขันและสภาพตลาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

1. เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ TCPVN มีความแข็งแกร่งทัดเทียมบริษัทระดับโลก ด้วยการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมทั้งมีความสามารถในการเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ทั้งพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีเพิ่มมากขึ้น

2. เพิ่มประสิทธิภาพในการขายและการทำตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนทีมงานมืออาชีพ โดยเฉพาะคน Local ที่มีประสบการณ์การทำงานจากบริษัทนานาชาติ เพื่อให้ TPCVN มีบทบาทและได้แสดงศักยภาพด้านการตลาดและการขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการทำงานประสานกับกลุ่ม TCP ในไทย เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ ความรู้ หรือกลยทุธ์ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในตลาดเวียดนาม เพื่อเป็นแนวทางกระตุ้นให้ตลาด Energy Drink ในเวียดนามคึกคักและเติบโตได้เพิ่มมากขึ้น โดยเป้าหมายสำคัญคือ การขยายขนาดตลาดเครื่องดื่มชูกำลังให้เติบโตเทียบเท่ากับตลาดน้ำอัดลมในเวียดนาม

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงแค่การขยายช่องทางจำหน่ายให้มีจำนวนกว้างขวางและครอบคลุมไปทั่วทั้งประเทศเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมองหาช่องทางใหม่ๆ ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์

“เป้าหมายสำคัญในตลาดเวียดนามคือ การเสริมความแข็งแกร่งในฐานะของผู้นำตลาดให้กับ TCPVN ให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากยอดขายที่ต้องผลักดันให้ขยายตัวได้มากกว่าเท่าตัว รวมทั้งการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด Energy Drink  มากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด หรือมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 50% ภายในปี 2564 จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งในตลาดนี้จากทั้ง Red Bull และ Warrior รวมกันที่ 43% รวมทั้งการมีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดในเวียดนามได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้นมา หรือการนำแบรนด์ที่มีการทำตลาดอยู่แล้วในประเทศอื่นๆ มาทำตลาดเพิ่มเติมในเวียดนามก็ตาม”

ทั้งนี้ TCPVN ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดขายสิ้นปีของทั้งกรุ๊ปคาดว่าจะปิดได้ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท ส่วนการเติบโตได้ถึง 1 แสนล้านบาทตามโรดแม็พ กลุ่ม TCP ยอมรับว่า แม้ปัจจุบันอาจจะยังเดินได้ไม่เร็วเท่าแผนที่วางไว้ เนื่องจาก วางเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทาย แต่จะเร่งผลักดันการทำตลาดและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะโอกาสในการขยายสำนักงานแห่งใหม่ในต่างประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยแถบ CLMV ยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสและศักยภาพสูงที่ทางกลุ่ม TCP ให้ความสนใจ

ทั้งนี้ ตามแผนที่วางไว้เมื่อยอดขายเติบโตจนแตะระดับถึงแสนล้านบาท ตัวเลขจากต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบเอเชียจะกลายเป็นสัดส่วนหลักกว่า 80% ขณะที่อีก 20% จะมาจากตลาดไทย โดยเชื่อมั่นว่าเวียดนามจะเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญอันดับต้นๆ ของกลุ่ม TCP อย่างแน่นอน


แชร์ :

You may also like