ธุรกิจโลจิสติกส์ในเมืองไทยถือเป็นฮับของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังเฟื่องฟูท่ามกลางผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่มีหนึ่งในผู้เล่นรายหลักที่สั่งสมชื่อเสียงมานานกว่า 4 ทศวรรษ โดยมีจุดแข็งและจุดขายที่ชัดเจน แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น ๆ ก็คือ JWD InfoLogistics แบรนด์โลจิสติกส์และซัพพลายเชนครบวงจรสัญชาติไทยที่เป็นผู้นำโลจิสติกส์กลุ่มสินค้าที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษ โดยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้าและเติบโตไปสู่ระดับภูมิภาค ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล พร้อมใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาวะของชุมชน จนได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2561
ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดว่า จุดเริ่มต้นของ JWD เกิดขึ้นเมื่อปี 2522 โดยปักหมุดเป็นโลจิสติกส์เฉพาะทางมาตั้งแต่แรก ด้วยบริการขนย้ายบ้านและสำนักงานทั้งในและนอกประเทศ จากนั้นก็ยึดหัวหาดในการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเต็มรูปแบบ ปัจจุบันให้บริการใน 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. บริหารจัดการคลังสินค้าและลานสินค้า (Warehouse & Yard Management) (60.3%) 2. ขนส่งและกระจายสินค้า (15.9%) 3. ขนย้ายบ้านและสำนักงานทั้งในและต่างประเทศ (10.4%) 4. บริการด้านอาหาร หรือ ฟู้ด เซอร์วิส (9.2%) 5. บริการจัดเก็บเอกสารและข้อมูล (3.5%) 6. อื่นๆ เช่น บริการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับซัพพลายเชน, บริการจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (0.7%)
โดยในธุรกิจบริหารจัดการคลังสินค้าและลานสินค้ามีความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นในกลุ่มสินค้าหลัก 3 กลุ่ม ที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษ ได้แก่ 1. สินค้ากลุ่มยานยนต์ 2. สินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น–แช่แข็ง และ 3. สินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์
“สินค้ากลุ่มยานยนต์” ต้องใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน JWD สามารถตรวจสอบติดตามสถานะรายคันก่อนได้แบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ต้นทางเมื่อออกจากโรงงานประกอบ จนถึงการปลายทางที่ส่งออก ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่เคร่งครัดของญี่ปุ่น รวมถึงปฏิบัติครบถ้วนตามมาตรฐานจำเป็นสำหรับส่งออกสู่ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ โดยลูกค้าหลัก ได้แก่ นิสสัน อีซูซุ เป็นต้น
ด้าน “สินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น–แช่แข็งในกลุ่มประมง” ห้องเย็นของ JWD ที่มหาชัย สมุทรสาคร ได้รับมาตรฐานรับรองการทำประมงจากธรรมชาติอย่างยั่งยืนและถูกกฎหมาย โดยใบอนุญาตดังกล่าวสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของอาหารทะเลได้ทุกขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการทำประมงสากล หรือ การส่งออกสัตว์ปีกตามมาตรฐานกลุ่ม EU และญี่ปุ่น โดยลูกค้าที่ใช้บริการ ได้แก่ ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องและสัตว์ปีกรายใหญ่ของประเทศ
สำหรับ “สินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์” นั้น JWD ให้บริการด้านคลังสินค้าเพื่อจัดเก็บและขนย้ายมาตั้งแต่ 2546 ด้วยการยึดหลัก “ป้องกันก่อนเกิดเหตุ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ยึดมั่นมาตั้งแต่เริ่มให้บริการ ด้วยระบบการวางแผนรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน และอุบัติเหตุต่างๆ เป็นอย่างดี มีการสุ่มตรวจตู้สินค้าอันตรายบนลำเรือมากกว่า 4,500 ลำต่อปี โดยจะส่งนักเคมีขึ้นไปตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลหรือไม่ เพื่อให้ทั้งลูกค้าและชุมชนโดยรอบเชื่อมั่นและไว้วางใจได้ว่า JWD มีมาตรการเตรียมพร้อมที่รอบคอบและรัดกุมในระดับสูงสุด เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง
โดยเบื้องหลังคือ “DG-Total ระบบบริหารจัดการสินค้าอันตรายครบวงจร” ครอบคลุมทุกส่วน ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ด้วยระบบฐานข้อมูลที่เก็บทุกรายละเอียดของสินค้าอันตราย สามารถสืบค้นได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ก็จะทราบว่าสินค้าแต่ละตัวเมื่อเกิดปัญหาจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร ติดต่อผู้เชี่ยวชาญคนใด โทรไปที่เบอร์ไหน ขณะที่ “D-GPS (Differential GPS)” เทคโนโลยีจากเยอรมนี ก็จะช่วยทำให้การค้นหาตำแหน่งตู้สินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและคลาดเคลื่อนไม่เกิน 30 ซม. นับเป็นรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรายที่ 2 ของโลกที่ใช้ระบบนี้ รวมถึงมีซอฟท์แวร์ช่วยบริหารจัดการงานเอกสารต่างๆ ให้ลูกค้าทำงานได้สะดวก รวดเร็ว
ทั้งนี้ 4 องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ JWD ได้รับยกย่องเป็น “ต้นแบบการจัดการสินค้าอันตรายของประเทศ” ด้วยการสร้างมาตรการรองรับความปลอดภัย ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ได้แก่
จากประสบการณ์และผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ทุกวันนี้ JWD ได้รับความไว้วางใจจากการท่าเรือฯ ให้รองรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประเภทนี้ คิดเป็นสัดส่วน 70% ของประเทศ โดยมีศักยภาพรองรับการให้บริการจัดเก็บตู้สินค้าอันตรายปีละ 200,000 ตู้
ไม่ใช่แค่ยอดตัวเลขผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเท่านั้น JWD ยังมีชื่อเสียงในแง่ของการเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ล่าสุดได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2561 โดยผ่านเกณฑ์การพิจารณาด้าน ESG ที่ประกอบด้วยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และ บรรษัทภิบาล (Governance) เช่น การออกแบบอาคารประหยัดพลังงานและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้ลดค่าไฟได้ปีละ 10 ล้านบาท, การบริหารจัดการขยะเพื่อลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม การจัดกิจกรรมฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดูแลป้องกันผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
“ในอนาคต JWD เตรียมที่จะหาแนวทางใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกินขอบเขตมากกว่าเดิม เช่น การเพิ่มความสัมพันธ์เชิงลึกกับชุมชนรอบข้าง ด้วยโครงการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น”
นอกจากนี้ JWD ยังเน้นเติบโตด้วยการจับมือกับ Strategic Partners ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ยาวนาน ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบของการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ เพราะนอกจากจะทำให้ JWD เปิดตลาดใหม่ ๆ ได้โดยใช้ระยะเวลาที่สั้นลงแล้ว ยังทำให้ได้เรียนรู้โนว์ฮาว ตลอดจนเทคโนโลยีล้ำสมัยจากพันธมิตรด้วย โดยหนึ่งในนั้นคือ CJ Logistics จากเกาหลีใต้, PPSP และ Bok Seng จากกัมพูชา
“ต่อไปเราไม่จำเป็นต้องลงทุนขยายคลังสินค้าเพิ่มเติม แต่จะใช้เครือข่าย รวมถึงเทคโนโลยีระบบต่างๆ ที่ได้จากพันธมิตรมาบริหารจัดการพื้นที่ที่มีอยู่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่”
เท่านั้นยังไม่พอ JWD พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเข้าสู่อาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นและเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในภูมิภาคนี้ กอปรกับโลเกชั่นและศักยภาพของเศรษฐกิจ รวมถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานของไทยมีความก้าวหน้า พร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีศักยภาพที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้
จากปัจจุบัน JWD ดำเนินธุรกิจอยู่แล้วในกัมพูชา, ลาว, เมียนมา และอินโดนีเซีย แต่จะบุกประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, สิงคโปร์ และมาเลเซีย ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจากปัจจุบันที่ลงทุนในไต้หวันอยู่แล้ว ก็จะเพิ่มเติมในไทย, จีน (เทียนจิน, อู่ฮั่น, ปักกิ่ง), ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และสิงคโปร์
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากอีคอมเมิร์ซที่ร่วมมือกับ CJ Logistics แล้ว JWD ยังมุ่งรุกธุรกิจ B2C ด้วยธุรกิจบริการจัดเก็บสินค้าหรือข้าวของเครื่องใช้ส่วนบุคคล (Self Storage) ภายใต้ชื่อ JWD Store It! สอดรับเทรนด์การใช้ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ที่พื้นที่อยู่อาศัยมีจำกัด ปัจจุบันมี 2 สาขา คือ สยามสแควร์และกรุงเทพกรีฑา และในอนาคตอันใกล้นี้วางแผนจะขยายสาขาเพิ่มเติมเพื่อครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเมือง
“ในอนาคตเราจะยังคงยึดมั่นในการเป็นผู้นำโลจิสติกส์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่ สำหรับ JWD Store It! ก็เช่นกัน แม้จะมีผู้เล่นในธุรกิจ Self Storage จำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาเจ้าของพื้นที่ต่างๆ แต่เราก็จะทำในสิ่งที่รายอื่นทำได้ยาก หรือ ทำไม่ได้เพิ่มเติม เช่น การดูแลจัดเก็บงานศิลปะที่มูลค่าสูง หรือ กระทั่งไวน์ราคาแพง เป็นต้น”
สำหรับผลประกอบการ Q3/2018 ของ JWD มีรายได้ 848.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากของการบริหารจัดการคลังสินค้าและลานสินค้า โดยเฉพาะสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น–แช่แข็งในกลุ่มประมง, ธุรกิจขนส่งและกระจายสินค้า และฟู้ด เซอร์วิส
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องราวของความสำเร็จและคัมภีร์ธุรกิจที่ JWD ยึดมั่น เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน