ถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมผลงานระดับมาสเตอร์พีซของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป กับการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 13 ปี เพื่อสร้าง Destination แห่งใหม่ในธุรกิจโรงภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่สวยที่สุดตั้งแต่เมเจอร์ฯ เคยทำมา หรืออาจจะบอกว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่สวยที่สุดในโลกก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของโครงการนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทายาทสายตรง ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 “คุณวิศรุต พูลวรลักษณ์” ลูกชายคนโตวัย 25 ปี ของเจ้าพ่อธุรกิจโรงภาพยนตร์และเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ของไทยอย่าง “คุณวิชา พูลวรลักษณ์” นั่นเอง
ประเดิมด้วยงานใหญ่ระดับมาสเตอร์พีซ
ปัจจุบัน คุณวิศรุต พูลวรลักษณ์ หรือ คุณเค เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวทันทีหลังจากเรียนจบปริญญาโทด้าน Operation Research จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกระดับเดียวกับกลุ่ม Ivy League โดยเริ่มเข้ามาช่วยงานตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนในตำแหน่ง ผู้อำนวยการ บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เพื่อเริ่มศึกษางานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงภาพยนตร์
โดยเฉพาะการเป็น Project Leader โรงภาพยนตร์ระดับแฟล็กชิพมาสเตอร์พีซอย่าง ไอคอน ซีเนคอนิค ที่เพิ่งเปิดให้บริการวันแรกไปเมื่อ 5 ธันวาคม 2561 หรือเมื่อวันพ่อที่ผ่านมานี้ ซึ่งผลตอบรับก็สมฐานะของความเป็นโรงระดับ Iconic Flagship Masterpiece เมื่อยอดขายตั๋วในวันแรกเพียงวันเดียวทำได้มากถึง 6,000 ใบ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในการเปิดโรงภาพยนตร์ที่ทางเมเจอร์ฯ เคยทำได้
“คุณพ่อไม่เคยกดดันว่าจบแล้วต้องมาช่วยงานครอบครัว แต่ผมชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กและมองว่าเป็นธุรกิจด้าน Entertainment ซึ่งน่าจะสนุกและท้าทาย เพราะเพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ที่จบมาด้วยกันจะไปในสายงาน Consulting เป็นส่วนใหญ่ แต่ผมไม่ค่อยชอบด้านนั้นเท่าไหร่ เลยตัดสินใจมาทำงานกับครอบครัวดีกว่า รวมทั้งในครอบครัวเองยังมีธุรกิจอื่นๆ ให้ได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร หรือธุรกิจโรงแรม แต่ผมชอบธุรกิจโรงภาพยนตร์มากที่สุด และมองว่าเป็น Core Business ของครอบครัวเรา เลยขอโฟกัสที่งานโรงภาพยนตร์เป็นหลัก”
เมื่อถามว่า มีส่วนร่วมอะไรในโปรเจ็กต์ไอคอน ซีเนคอนิค นี้บ้าง คุณเคตอบว่า พยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะส่วนที่เข้าไปมีบทบาทมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของงานดีไซน์ ที่ได้เข้าร่วมในทุกประชุมที่เกี่ยวข้องกับงานดีไซน์แทบจะทุกนัด รวมทั้งเสนอไอเดียพูดคุยกับดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง มร.ดิเอโก กรอนดา ผู้ออกแบบโรงละครโกดัก เธียเตอร์ ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลออสการ์ รวมทั้งโรงภาพยนตร์สำคัญๆ ของเครือเมเจอร์มาหลายแห่งแล้ว ซึ่งผลงานที่ออกมาคุณเค ยอมรับว่า “ในความรู้สึกของผมโรงหนังแห่งนี้เป็นโรงหนังที่สวยที่สุดตั้งแต่เมเจอร์เคยทำมาแล้ว”
นอกจากเรื่องของความสวยแล้ว ในฐานะแฟล็กชิพมาสเตอร์พีซ โรงภาพยนตร์แห่งนี้ยังเป็นโรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของเครือเมเจอร์อีกด้วย เพราะทุกโรงในนี้จะฉายด้วยระบบเลเซอร์เพล็กซ์ ซึ่งเป็นระบบฉายที่มีคุณภาพสูงกว่าระบบเดิม ที่ก่อนหน้านี้จะฉายระบบนี้อยู่แค่ในโรง VIP เท่านั้น รวมทั้งยังเป็น Destination ที่รองรับ Movie Lover ได้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่ลูกค้าองค์กรที่ต้องการมาใช้สถานที่ในการพบปะสังสรรค์ จัดประชุม หรือจัดกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งการจัด Exclusive Private Party ต่างๆ เพื่อให้โรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ เป็นได้มากกว่าแค่ที่ดูหนัง แต่จะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างครอบคลุม เรียกได้ว่า มาเริ่มงานได้ไม่นานก็สามารถสร้างผลงานชิ้นโบแดงได้ทันที
“ผมมองว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เข้ามาในจังหวะที่ดีมากกว่า ประกอบกับได้รับโอกาสจากคุณพ่อให้เราได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้ โดยที่คุณพ่อยังคงช่วยไกด์ให้อยู่ เนื่องจาก การก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ เราก็ต้องพยายามท่ีจะเรียนรู้งานต่างๆ จากคุณพ่อ เพราะนั่งทำงานอยู่กับคุณพ่อทุกวันก็จะพยายามสังเกตุ ศึกษาและซึมซับวิธีคิดในการทำงาน การบริหารงาน หรือการดีลกับพาร์ทเนอร์หรือแม้แต่พนักงานแต่ละส่วน ซึ่งคุณพ่อจะใจเย็น ใจดี และพยายามเข้าใจคนที่ท่านทำงานด้วยทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบในการทำงานให้กับเราได้เป็นอย่างดี”
ภารกิจเร่งด่วน ‘ยกระบบหลังบ้านขึ้นคลาวด์’
นอกจากประเดิมโปรเจ็กต์ใหญ่ในรอบ 13 ปี อย่างไอคอน ซีเนคอนิคแล้ว อีกหนึ่ง Priority ที่ทางคุณเค กำลังรับผิดชอบอยู่คือ การเติม Innovation ต่างๆ ให้กับเมเจอร์ฯ เพื่อให้การพัฒนาของดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ กลายมาเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการเติบโตและสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีขึ้น มากกว่าการถูกคุกคามด้วยเทคโนโลยีเหมือนกับที่หลายๆ ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่
โดยเฉพาะในยุค Mobile First ที่ทุกคนล้วนใช้บริการต่างๆ จากมือถือ การทำให้เมเจอร์ฯ เข้าไปอยู่บนมือถือของทุกคนเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วหนัง การเช็คข้อมูลต่างๆ ของเมเจอร์ ทั้งรอบฉาย หรือดูหนังตัวอย่าง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบหลังบ้านไปไว้บนคลาวด์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ และรองรับการเข้ามาของลูกค้าพร้อมกันในคราวละมากๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งงานหลักที่คุณเคกำลังเร่งทำ
คุณเควางเป้าหมายเพื่อจะเป็น KPI ในการวัดความสำเร็จของตัวเองในเรื่องนี้ ด้วยการเพิ่มยอดซื้อตั๋วผ่าน Mobile Channel ให้เป็น 80% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนที่ราว 10% ขณะที่สัดส่วนใหญ่กว่า 80% ยังมาจากตู้จำหน่ายอัตโนมัติ และการซื้อผ่าน Box Office ราว 10% ซึ่งในอนาคตจะโฟกัสช่องทางจำหน่ายผ่านโมบายและตู้อัตโนมัติเป็นหลัก ส่วน Box Office จะเน้นการอำนวยความสะดวกหรือให้คำแนะนำต่างๆ สำหรับลูกค้าแทน
“เราให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Journey อย่างมาก และยังมองเห็น Pain Point หลายๆ อย่างที่ลูกค้าอาจจะยังไม่ได้รับความสะดวกสบายมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการต่อแถวซื้อตั๋ว ซื้อเครื่องดื่ม ป๊อบคอร์น หรือปัญหาระบบในช่วง Peak Load ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกทัชพ้อยท์ โดยเฉพาะการเพิ่มบริการต่างๆ ที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งการนำระบบดิจิทัลมาใช้ตั้งแต่การจองตั๋วผ่านโมบาย ไปจนถึงระบบ E Check-in ต่างๆ ซึ่งทำมากว่าครึ่งปีแล้ว หรือแม้แต่การบริการเสิร์ฟอาหารหรือเครื่องดื่มให้แก่ลูกค้าในโรงภาพยนตร์ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มให้บริการ Dine In Cinema ที่โรง VIP ในไอคอน ซีเนคอนิค แล้วเช่นกัน”
รวมทั้งการไปสู่เป้าหมายสำคัญซึ่งเป็นนโยบายที่เมเจอร์ให้ความสำคัญมาโดยตลอดคือ การทำให้โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์เป็นมากกว่าแค่สถานที่สำหรับมาแค่เพื่อดูหนัง แต่เป็นอีกหนึ่ง Lifestyle Destination ที่ทำให้ผู้คนมาได้บ่อยๆ และทำให้การเข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งคัลเจอร์ของคนไทย ทำให้นอกจากความสะดวกสบายในการเช็คโปรแกรม หรือระบบจองตั๋วต่างๆ แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่ Public Space ภายในโรงภาพยนตร์ ให้สามารถกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ระหว่างเพื่อน หรือการใช้เวลาว่างสำหรับครอบครัวได้ด้วย
ยากที่สุดคือ การเรียนรู้และเข้าใจลูกค้าคนไทย
ขณะที่ความท้าทายสำคัญและเป็นสิ่งที่คุณเคค่อนข้างหนักใจ คือ ความซับซ้อนและแตกต่างของพฤติกรรมของลูกค้าคนไทย เนื่องจาก การไปใช้ชีวิตในต่างประเทศมากว่า 10 ปี ทำให้ห่างหายจากสังคมไทยไปนาน ประกอบกับความซับซ้อนของผู้คนที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค ทำให้ต้องพยายามมาเรียนรู้และศึกษาพฤติกรรม และความชื่นชอบที่แตกต่างกันไปของแต่ละกลุ่ม
“ผมยอมรับว่า บางครั้งผมไม่ค่อยเข้าใจมุขต่างๆ ในภาพยนตร์ไทย หรือภาพยนตร์บางเรื่องที่เราไม่เข้าใจแต่กลับได้รับการตอบรับที่ดีมากในตลาดต่างจังหวัด ทำให้เรารู้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ แต่ใหญ่กว่านั้นมาก ซึ่งเราก็ต้องพยายามเรียนรู้และศึกษาทั้งจากคุณพ่อ และพี่ๆ ทีมงานทุกคนที่ต่างมีประสบการณ์สูงมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะสามารถเข้ามาเติมเต็มให้ได้ คือ มุมมองและวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ หรือ Insigt ต่างๆ จากคนในวัยเดียวกับเรา เพื่อเป็นอีกหนึ่งข้อมูลในการตอบโจทย์แต่ละ Segmentation ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น”
คุณเค ยังประเมินโอกาสการเติบโตของธุรกิจโรงภาพยนตร์รวมทั้งเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ของไทยว่ายังมีอยู่สูงมาก หากพิจารณาจากตัวเลขประชากรไทยที่มีเกือบ 70 ล้านคน เทียบกับตัวเลขลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ (Admission) รวมทั้งยอดจำหน่ายตั๋วต่อปีของเมจอร์ฯ ที่อยู่ราวๆ เกือบ 40 ล้านใบ ซึ่งมีสัดส่วนยังไม่ถึง 1% ขณะที่เกาหลี ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีในการผลักดันธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ให้แข็งแกร่งด้วยการมี Local Content ที่แข็งแรง ทำให้มียอด Admission ในแต่ละปีสูงถึง 200 ล้านใบ ขณะที่จำนวนประชากรมีอยู่ราวๆ 50 ล้านคน หรือคิดเป็น 4% หรือแม้แต่ในจีนที่มีคนเป็นพันล้านคน แต่ก็ยังมียอด Admission ต่อประชากรได้ที่ 1%
นอกจากนี้ เมื่อมองมาที่จำนวนโรงภาพยนตร์ในไทย ก็ยังมีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อีกมาก เช่น จีน ที่มีจำนวนโรงหนังมากที่สุดในโลกถึงกว่า 51,000 โรง, หรือในอินเดียที่มีกว่า 11,000 โรง แต่ก็ยังมี Occupancy Rate สูงถึง 30-40% เช่นกัน ขณะที่ในญี่ปุ่นมีกว่า 3,000 โรง และเกาหลีใต้ที่มีกว่า 2,000 โรง ส่วนของเมเจอร์ฯ เองมีเป้าหมายในการขยายให้ครบ 1,000 โรง ภายในปี 2563
แม้จำนวนโรงภาพยนตร์หรือ Admission Rate อาจจะยังตามหลังหลายๆ ประเทศ แต่ในมิติของการพัฒนาโรงภาพยนตร์ของประเทศไทยนั้น ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี หรือการเติมเต็ม Movie Experience ต่างๆ ในฐานะที่มีโอกาสติดตามคุณพ่อไปดูงานด้านโรงภาพยนตร์มาแล้วทั่วโลก คุณเคมั่นใจว่า ประเทศไทยไม่แพ้ชาติใด เพราะให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ชมภาพยนตร์มากที่สุดในโลกแล้ว โดยเฉพาะการพัฒนาโรงภาพยนตร์ในระดับ VIP ที่ประเทศไทยพัฒนาไปได้ไกลมาก และมีก่อนชาติอื่นๆ แม้แต่ในอเมริกาที่เพิ่งมีโรงในระดับ VIP เมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง
และในฐานะลูกชายคนโตของเจ้าพ่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ของประเทศ สิ่งที่ต้องถามคือ ภาพยนตร์ที่ชอบดู ซึ่งคุณเคตอบว่า “ผมชอบดูหนังประเภทซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ เพราะเป็นหนังที่สนุกและเข้าใจง่าย ส่วนหนังไทย ส่วนใหญ่จะเป็นหนังแนววัยรุ่นที่ใกล้ตัวและเข้าใจง่าย แต่ก็จะพยายามเรียนรู้และดูหนังในหลากหลายแนวมากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าใจความต้องการและความชื่นชอบที่หลากหลายของคนไทยและตลาดในประเทศไทยได้ดีมากขึ้น แม้ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจได้มากเท่าไหร่นักก็ตาม”