“แดรี่ควีน” (Dairy Queen) เผยความสำเร็จผลการดำเนินธุรกิจ 5 ปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 4% เตรียมทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท เปิดเกมรุกด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) เร่งเพิ่มพันธมิตรค้าปลีก และแฟรนไชส์ซี (Franchisee) สร้างความได้เปรียบด้านช่องทางการขาย (Strategic Partner) 2) เลือกโลเคชันในการขยายสาขาเน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น (Strategic Location) และ 3) มุ่งสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง (Customer Satisfaction)
ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และเน้นทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น ล่าสุด จัดแคมเปญฉลองความสำเร็จครบ 500 สาขา แจกฟรีไอศกรีมบลิซซาร์ด รส “ข้าวเหนียวใบเตยมะม่วง” ที่มาพร้อม “มะพร้าวคั่ว” ครั้งแรกของโลก! จำนวนรวม 1,000 ถ้วย เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมเตรียมจำหน่ายให้เหล่าคนรักไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟได้ลิ้มลองความอร่อยของรสชาติพิเศษนี้ ตลอดเดือนมกราคม ณ ร้านแดรี่ควีน สาขาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เท่านั้น
นายนครินทร์ ธรรมหทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด บริษัทในเครือไมเนอร์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจร้านไอศกรีม “แดรี่ควีน” กล่าวว่า “แดรี่ควีน เป็นแบรนด์จากสหรัฐอเมริกาที่มีประวัติยาวนานถึง 79 ปี ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ความอร่อยที่ให้คุณสัมผัสได้ในทุกโมเม้นต์” โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยคุ้นเคยกับแบรนด์แดรี่ควีน ก็คือ ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ (Soft-serve) ที่รู้จักกันในชื่อเมนู ‘บลิซซาร์ด’ (Blizzard® Treat) ปัจจุบันแดรี่ควีนมีสาขาเปิดให้บริการทั่วโลก กว่า 6,800 แห่ง สำหรับในประเทศไทย ไมเนอร์ ดีคิว เป็นผู้นำแบรนด์ ‘แดรี่ควีน’ เข้ามาทำตลาดตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 โดยมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ 2 แบบ คือ ร้านที่บริหารโดยไมเนอร์ ดีคิว และร้านแฟรนไชส์ ในขณะที่ ในด้านผลิตภัณฑ์ แดรี่ควีนเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทที่ลูกค้าเลือกรับประทานเพื่อความพึงพอใจ เราจึงมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบทุกความต้องการ และทุกช่วงเวลาให้กับลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเภท ได้แก่ 1) ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ 2) ไอศกรีมเค้ก/ไอศกรีมแซนด์วิช 3) ฮอทดอก และ 4) เครื่องดื่ม โดยจำหน่ายในราคาตั้งแต่ 10 บาท ไปจนถึง 495 บาท มีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือคนรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 18-29 ปี ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รสชาติถูกปาก จำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม”
“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยสองปัจจัยหลัก คือ 1) จากไลฟ์สไตล์การกินดื่มของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นิยมรับประทานของว่าง เช่น ขนม หรือของหวานกันมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ‘ไอศกรีม’ จึงกลายเป็นตัวเลือกท็อปฮิตของคนไทย และ 2) การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนสอดรับกับความต้องการของตลาด โดยบริษัทฯ เน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยใช้ 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ ‘Strategic Partner’ การจับมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และผู้ซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ กลยุทธ์ ‘Strategic Location’ เลือกโลเคชันที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และกลยุทธ์ ‘Customer Satisfaction’ การสร้างความพึงพอใจในทุกความต้องการให้แก่ลูกค้า รวมถึงการนำเสนอจุดแข็งของแบรนด์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพผลิตจากนมโค มีความหลากหลาย และมีนวัตกรรม โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ “อัพไซด์ ดาวน์” ในเมนูบลิซซาร์ดที่ผู้บริโภคมีการจดจำได้ดี โดยทั้งสามกลยุทธ์ดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เพื่อการเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดทั้งในแง่ของความสะดวกในการซื้อ และการเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค ส่งผลให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แดรี่ควีนมีรายได้เติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ ปีละ 4% และเป็นแบรนด์ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทยด้วยจำนวนทั้งสิ้น 500 สาขา”
ล่าสุด “แดรี่ควีน” ได้จัดกิจกรรม “500 Stores Celebration” ฉลองความสำเร็จในโอกาสเปิดสาขาให้บริการในประเทศไทย ครบ 500 แห่ง เอาใจคนรักไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ ด้วยการแจกฟรีไอศกรีมบลิซซาร์ดรส “ข้าวเหนียวใบเตยมะม่วง” ที่มาพร้อม “มะพร้าวคั่ว” ท็อปปิ้งสูตรเฉพาะ ครั้งแรกของโลก! จำนวนรวม 1,000 ถ้วย เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมเตรียมจำหน่ายไอศกรีมบลิซซาร์ดรสชาติพิเศษนี้ในราคา 40 บาท ต่อเนื่องตลอดเดือนมกราคมนี้ เฉพาะที่ร้านแดรี่ควีน สาขาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิเท่านั้น
นายนครินทร์ เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทาง และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ในปีพ.ศ. 2562 บริษัทฯ ได้เตรียมงบการตลาดไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อรักษาตำแหน่งผู้เล่นหลักในกลุ่มไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก พร้อมกันนี้ยังเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นผ่านการนำเสนอความหลากหลายของเมนูให้มากขึ้น โดยเน้นสร้างความแปลกใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มฮอทดอก และเครื่องดื่มที่มีรสชาติถูกปากคนไทย ควบคู่ไปกับการสานต่อกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ เน้นให้ความสำคัญกับเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งผ่านการเพิ่มทักษะ และเทคนิคในการบริหารจัดการธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด การเลือก Strategic Location เพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 40 แห่งภายในปีพ.ศ. 2562 โดยในปีนี้บริษัทฯ ไม่ได้เน้นขยายสาขาตามสภาพภูมิศาสตร์แต่จะเน้นการเข้าไปอยู่ในทุกโอกาสของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น บริการโมบาย ยูนิต หรือ ฟู้ด ทรัคส์ เข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในงานอีเว้นท์ต่างๆ เป็นต้น ตลอดจนเน้นการสร้างความพึงพอใจในทุกความต้องการให้กับลูกค้าด้วยการเสริมบริการเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า พร้อมกับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อให้เกิดแบรนด์ลอยัลตี้ (Brand loyalty) และแบรนด์แอดโวเคซี่ (Brand Advocacy) โดยมีเป้าหมายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า คือมอบประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุม ด้วยการขยายสาขาให้ครบ 1,000 สาขาทั่วประเทศ”
“ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคอาหาร และเครื่องดื่มของคนไทยในยุคดิจิทัล ที่นอกจากจะเลือกแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการของตนเองแล้ว ยังมองหาผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกระแส มีการนำเสนอเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ เหมาะกับการแชร์ลงบนโซเชียลมีเดียของตนเอง ในขณะเดียวกันต้องเป็นแบรนด์ ที่เข้าถึงได้ง่าย ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายตอบทุกความต้องการของตนเองได้ภายในที่เดียว จากเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคต่างๆ เหล่านี้ บริษัทฯ มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยผลักดันให้เกิดการแข่งขันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และแคมเปญส่งเสริมการขายจากผู้เล่นในตลาดจนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการบริโภคต่อเนื่องตลอดทั้งปี” นายนครินทร์ กล่าวสรุป