ปี 2543 บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มเข้ามาปักฐานการลงทุนในประเทศไทย เพื่อผลิตแอร์ในบ้าน อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง บนเนื้อที่ 195 ไร่ ซึ่งขณะนั้นทำยอดขายได้แค่ปีละ 2 ล้านเหรียญเท่านั้น และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แอลจีฯ ได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของตลาดแอร์ในเมืองไทย โดยเฉพาะแอร์อินเวอร์เตอร์ที่สามารถผลิตได้ชนิด 100% และผลิตมาแล้วมากกว่า 10 ล้านเครื่อง ซึ่งไม่ได้จำหน่ายแค่ในไทยเท่านั้น แต่ยังส่งออกไปยังต่างประเทศกว่า 50 ประเทศอีกด้วย ทำให้โรงงานในไทย เป็นศูนย์กลางด้านการผลิตเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของอาเซียนเลยทีเดียว
โรงงานไทยใหญ่เบอร์ 3 ของเอเชีย
ในช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ โรงงานแอลจีฯ ในประเทศไทยจะผลิตและส่งออกแอร์ ซึ่งเป็นรุ่น Window Type ไปยังอเมริกาเหนือ โดยได้ออร์เดอร์ที่ย้ายมาจากประเทศจีน เพื่อให้โรงงานมีประสิทธิภาพด้านการผลิตสินค้า และคุ้มค่ากับการลงทุน ขณะนี้ใช้กำลังการผลิตไปเพียง 30% เท่านั้น ซึ่งหากตลาดมีความต้องการเพิ่มก็สามารถเพิ่มจำนวนเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 3-4 แสนเครื่องต่อปี
คุณวราพงษ์ อูปแก้ว ผู้อำนวยการโรงงาน บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า บริษัทยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นฐานการผลิตสำคัญอันดับ 3 แทนตำแหน่งของประเทศอินเดีย และเป็นรองประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่อันดับ 2 และประเทศเกาหลีอันดับ 1 สำหรับการทำตลาดทั่วโลก ช่วงปีที่ผ่านมายังได้มีการลงทุน 100 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตแอร์โรงงานในประเทศ จากกำลังการผลิต 1 ล้านเครื่องเป็น 1.3 ล้านเครื่องในปีนี้
ส่วนปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การนำเอาหุ่นยนต์ในใช้ในการแรพพลาสติกแอร์ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท การปรับปรุงโรงงานด้วยการติดตั้งแอร์ทั้งโรงงาน ด้วยงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้สภาพแวดล้อมการทำงานของพนักงานดีขึ้น ซึ่งถือว่าปัจจุบันโรงงานแอลจีฯ ในประเทศไทย ถือได้ว่ามีมาตรฐานการผลิตเดียวกับโรงงานในระดับโลก
บริเวณพื้นที่โรงงานปัจจุบัน ยังถูกใช้ไม่เต็มพื้นที่ มีพื้นที่เหลือเพียงพอในการขยายโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตหรือผลิตสินค้าชนิดอื่น ซึ่งภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้โรงงานแอลจีฯ ยังไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพราะกำลังการผลิตแอร์ถือว่าเพียงพอ แต่ในอนาคตมีแผนเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นเพิ่มเติม จากปัจจุบันผลิตสินค้าอยู่ 3 กลุ่ม คือ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และคอมเพรสเซอร์
เทรนด์สุขภาพมาแรง ลุยตลาดแอร์ฟอกอากาศ PM1.0
ประเด็นปัญหาฝุ่นควันพิษในระดับ PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหารุนแรงขนาดนี้ และยังไม่มีทีท่าจะแก้ไขให้หมดลงได้ง่าย แผนการทำตลาดและเปิดตัวแอร์รุ่นใหม่ในปีนี้ หนึ่งในนั้นจึงมีแอร์ซึ่งมีระบบฟอกอากาศ รวมอยู่ด้วย หรือรุ่น DUALCOOL PuriCool ซึ่งไม่ใช่แค่ฟอกอากาศหรือมลพิษได้ในระดับ PM2.5 เท่านั้น แต่ฟอกอากาศได้ขนาดเล็กถึง PM 1.0 เลยทีเดียว มากสุดในท้องตลาดขณะนี้ การเปิดตัวแอร์รุ่นดังกล่าวไม่ใช่เป็นเพราะเมืองไทยกำลังมีปัญหาฝุ่นควันพิษ แต่เป็นเพราะเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน สนใจและให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพ โดยเปิดตัวจำหน่ายแอร์รุ่นดังกล่าวมาแล้วตั้งแต่ไตรมาส 3 ในปีที่ผ่านมา จำนวน 2 รุ่น คือ 12,000 BTU และ 18,000 BTU ซึ่งจากการให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องสุขภาพ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและน่าจะทำยอดขายได้สัดส่วนประมาณ 5% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้รวมจากการทำตลาดทั้งในประเทศและส่งออกประมาณ 350 ล้านเหรียญ หรือกว่า 11,000 ล้านบาท
คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เล่าว่า มีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดจำนวน 6 ซีรีย์ รวม 18 รุ่น ได้แก่ PuriCool Series ,ARTCOOL Series, Heat & Cool ,Ultra Series ,Smart Series และ Classic Series โดยแผนการตลาดสำคัญ จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งผ่านสื่อโทรทัศน์ และป้ายนอกบ้าน เน้นสื่อออนไลน์ ในการให้ข้อมูลสินค้าและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า การให้ความรู้กับช่างติดตั้งแอร์ การสื่อสาร ณ จุดขาย และการเน้นการบริการหลังการขาย
ส่วนแนวโน้มภาพรวมของตลาดแอร์ปีนี้ คงเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะตลาดติดลบเนื่องจากมีฝนตก ทำให้อากาศไม่ร้อนเหมือนทุกปี แต่คาดว่าปีนี้สภาพอากาศคงจะร้อนมากขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดแอร์ และทำให้แอลจีมีส่วนแบ่งการตลาดแอร์เพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 8% และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในอันดับที่ 3 ของตลาดด้วย