บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ 20% ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกถึงสองปีซ้อน นอกจากนี้ แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศไทย ความสำเร็จทั้งหมดนี้ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มียอดส่งมอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในระดับหลักหมื่นติดต่อกันเป็นปีที่สอง พร้อมเดินหน้าสานต่อความสำเร็จตลอดปี 2562 ด้วยทัพยนตรกรรมพรีเมียมในหลากหลายเซกเมนต์ และนวัตกรรมแห่งอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรอบด้าน ทั้งประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ สายการผลิตที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และบริการแบบครบวงจร พร้อมสร้างประโยชน์อันยั่งยืนและคุณค่าให้แก่สังคมผ่านกิจกรรมและโครงการที่หลากหลาย
มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีในตัวเราคืออีกมาตรวัดความสำเร็จที่สำคัญ โดยในปี 2561 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นบริษัทรถยนต์อันดับหนึ่งในการสำรวจ Thailand’s Most Admired Company 2018 โดยนิตยสาร แบรนด์เอจ ด้วยคะแนนที่ยอดเยี่ยมในด้านนวัตกรรม ภาพลักษณ์แบรนด์ ความสำเร็จทางธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคม แน่นอนว่าในปี 2562 นี้ เราจะเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จในทุกด้าน เริ่มต้นจากการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ มากมายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้านการขับขี่ ดังจะเห็นได้จากการเผยโฉม บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ หรือมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ในวันนี้ ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีล้ำยุคอย่าง 3D Printing มาเพิ่มทางเลือกใน การผลิต ปรับแต่งรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น และการเริ่มดำเนินงานสายการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดให้ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยได้ทันท่วงที”
สำหรับความสำเร็จด้านนวัตกรรม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้เปิดตัวเทคโนโลยี BMW ConnectedDrive บริการและแอปพลิเคชั่นเฉพาะบุคคล ให้ผู้ขับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้เพลิดเพลิน กับฟีเจอร์ผู้ช่วยในการขับขี่ ข้อมูลและความบันเทิง รวมถึงการสัญจร เพื่อความสะดวกสบายและ ความปลอดภัยระดับพรีเมียม เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา นับเป็นการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อแบบ ครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม Open Mobility Cloud ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ดิจิตอลเข้ากับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้แบบไร้สาย ไม่ว่าจะด้วย iPhone หรือ Apple Watch
ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ระบบคลาวด์อัจฉริยะที่มาพร้อมความปลอดภัยระดับโลก ช่วยให้ BMW ConnectedDrive สามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่บันทึกจากการขับขี่รถยนต์
บีเอ็มดับเบิลยู โดยระบบ Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยูได้เลือกใช้แพลตฟอร์มไมโครซอฟท์ อาซัวร์เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาบริการอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่มากมาย ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงตัวรถเข้ากับสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคอนเทนต์และระบบเครือข่ายอีกมากมายจากภายนอก
ฟีเจอร์พื้นฐานของ BMW ConnectedDrive ประกอบด้วย BMW Teleservices บริการที่ช่วยจัดการ นัดหมายอัตโนมัติผ่านการแชร์ข้อมูลของรถยนต์กับศูนย์บริการบีเอ็มดับเบิลยูที่ลูกค้าเลือกไว้วางใจ หรือผู้ขับขี่สามารถติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยตนเองผ่าน BMW Teleservice Call เพื่อนัดหมายการรับบริการล่วงหน้าได้อีกด้วย
ส่วนในภาคการผลิต เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับยนตรกรรมไฟฟ้าแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะเริ่มต้นเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง (High-Voltage Battery – HVB) ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 ภายในปีนี้ โดยได้วางรากฐานเชิงทักษะสำหรับพนักงานไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2561 เป็นต้นมา
ความมุ่งมั่นในการสรรค์สร้างนวัตกรรมเพื่อโลกยานยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ไม่ได้หยุดเพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการยกระดับสายการผลิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการมอบประสบการณ์พิเศษสุดในทุกด้านและทุกช่องทางให้กับลูกค้า นับตั้งแต่โปรแกรม The Ultimate JOY Experience ที่เตรียมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่ด้วยหลากหลายกิจกรรมที่จะมาสร้างความสุขให้กับเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไปจนถึงการขยายช่องทางและรูปแบบการเข้ารับบริการจากเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยให้หลากหลายและตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู สตูดิโอ ที่นำบริการระดับพรีเมียมเข้ามาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้นในห้างสรรพสินค้า หรือการเปิด เออร์เบิน สโตร์ แห่งใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์สไตล์โชว์รูมเต็มรูปแบบที่ผสมผสานด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคและพื้นที่รับรอลูกค้าสุดหรู ขณะที่แนวคิด บีเอ็มดับเบิลยู เซอร์วิส เอาท์เล็ท เน้นขยายศักยภาพด้านบริการหลังการขายให้ครบเครื่องและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าสามารถใช้บริการ Online Booking เพื่อนัดหมายบริการล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ www.bmw.co.th ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว พร้อมความสะดวกสบายที่เหนือชั้นด้วยการบริการ Fastlane ที่ใช้เวลาในการตรวจซ่อมบำรุงรถยนต์จากช่างผู้ชำนาญการเพียงแค่ 90 นาที
ทางด้านบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ร่วมยกระดับบริการหลังการขายให้ลูกค้าในปีนี้ด้วยการเป็นผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์เจ้าแรกในประเทศไทยที่มอบโปรแกรมการรับประกัน BMW Motorrad Warranty เพิ่มเป็น 3 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ให้กับมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดรุ่นใหม่ทุกรุ่นที่ส่งมอบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 โดยครอบคลุมถึงบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มความอุ่นใจในทุกเส้นทางการขับขี่อย่างเหนือระดับ
มร. คริสเตียน กล่าวว่า “ประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่เรามอบให้กับลูกค้าไม่ได้สิ้นสุดอยู่เพียงแค่บนท้องถนนและเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างครบเครื่องของทั้งสามแบรนด์ ทั้งทาง Facebook Instagram และ YouTube โดยนอกจากการอัพเดทความเคลื่อนไหวล่าสุดในประเทศไทยของแต่ละแบรนด์ให้ลูกค้าและแฟนๆ ได้ติดตามกันแล้ว เรายังมีแชนเนล BMW JOY TV ที่มอบคอนเทนต์แบบวาไรตี้ครบครันสำหรับคอบีเอ็มดับเบิลยูตัวจริง นับตั้งแต่ไฮไลท์กิจกรรมพิเศษล่าสุดจากโปรแกรม The Ultimate JOY Experience ไปจนถึงแนะนำการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในรถยนต์รุ่นต่างๆ ขณะที่ทางฝั่งมินิ ก็ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดจองรถยนต์รุ่นพิเศษผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น เช่นในกรณีของมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ Ice Blue Edition เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างกระแสตอบรับในกลุ่มแฟนมินิชาวไทยได้ไม่น้อย”
อีกหนึ่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ในปีที่ผ่านมาคือ ความสำเร็จทางธุรกิจ โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำยอดขายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้เป็นสถิติใหม่ที่ 12,036 คัน ซึ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 20% และยังนับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในเครือข่ายของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกเป็นปีที่สองติดต่อกัน ขณะที่มินิและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มียอดการส่งมอบรถตลอดปีสูงเป็นสถิติใหม่เช่นกันที่ 1,051 คัน (เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า) และ 2,154 คัน (เพิ่มขึ้น 8%) ตามลำดับ
ส่วนในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในตลาดรถยนต์หรูไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์ รวมกว่า 2,490,664 คัน ซึ่งถือเป็นการสร้างสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและโรลส์-รอยซ์ ต่างทำยอดขายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ขณะที่ยอดการส่งมอบรถยนต์ของทั้งสามแบรนด์ในเดือนมกราคม 2562 รวม 170,463 คัน ก็ถือเป็นการเปิดฉากศักราชใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
มร. คริสเตียน เน้นย้ำว่า “จุดยืนของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั้งบนเวทีโลกและในประเทศไทย คือการขับเคลื่อนโลกยานยนต์ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์ แตกต่าง และยั่งยืนในทุกมิติ นอกจากความสำเร็จของเราในด้านยอดการส่งมอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราก็คือ ยอดการส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 38.4% ทั่วโลก ขณะที่ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเราในประเทศไทยก็พุ่งสูงขึ้นถึง 122% ในปีที่ผ่านมา”
“ส่วนในกลุ่มนักขับตัวจริงที่หลงใหลในสมรรถนะและความแม่นยำขณะขับขี่ เราก็ได้เห็นกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากยอดขายรถยนต์ในตระกูล M ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 105% ความสำเร็จในส่วนนี้เป็นเครื่องยืนยันว่ากลยุทธ์การทำตลาดรถยนต์นำเข้าของเรามีความแข็งแกร่งไม่แพ้แผนงานการทำตลาดรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศ และเราก็พร้อมที่จะต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มรถยนต์นำเข้าต่อไปด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่น บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นนำเข้าทั้งสองรุ่น ด้วยข้อเสนอพิเศษสุดมากมายตลอดปี 2562 นี้” มร. คริสเตียน กล่าวเสริม
นอกจากความสำเร็จทางยอดขาย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นสร้างประโยชน์อันยั่งยืนและร่วมสร้างคุณค่าให้แก่สังคมผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ แคร์ ฟอร์ วอเตอร์ อันเป็นความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และองค์กรไม่แสวงหากำไรสัญชาติอเมริกา Waves For Water ซึ่งร่วมกันทำพันธกิจในการสร้างโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขอนามัย พร้อมส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประโยชน์ของน้ำสะอาด ตลอดระยะเวลาของการดำเนินโครงการกว่า 3 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ได้ร่วมกันส่งมอบเครื่องกรองน้ำกว่า 5,020 ชุด ให้แก่ 60 ชุมชน ที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในประเทศไทย ครอบคลุมชาวบ้านกว่า 502,000 คน ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งที่จะส่งมอบเครื่องกรองน้ำให้ได้รวม 6,520 ชุดภายในสิ้นปีนี้ และ 9,520 ชุดภายในสิ้นปี 2564
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังมุ่งหวังที่จะช่วยยกระดับสังคมด้วยการศึกษาผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program ซึ่งริเริ่มโดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับหอการค้าเยอรมัน-ไทย และผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2555 เพื่ออบรมความรู้ด้านทฤษฎี และฝึกฝนทักษะในสายงานด้านช่างเทคนิคให้แก่นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงงานฝีมือที่เปี่ยมด้วยทักษะและความสามารถระดับสูง และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านศูนย์กลางการผลิตยนตรกรรมระดับโลก
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สานต่อพันธกิจสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคและบุคลากรคุณภาพ หลังจากที่ได้ฉลองการประกอบรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ครบ 100,000 คันไปเมื่อปีที่ผ่านมา โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง ยังคงเดินหน้ายกระดับศักยภาพอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของทรัพยากรบุคคล พร้อมปูรากฐานอันแข็งแกร่งด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนเพิ่มในปี 2561 เป็นจำนวนกว่า 816 ล้านบาท ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนรวมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีมูลค่ารวมกว่า 5.47 พันล้านบาท
การนำนวัตกรรมล้ำยุคอย่าง Additive Manufacturing หรือการพิมพ์แบบสามมิติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสายการผลิตที่โรงงานแห่งนี้ ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นในระดับบุคคล ด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นตามดีไซน์ของลูกค้าจากเครื่องพิมพ์ สามมิติจำนวน 5 เครื่องในสายการผลิต โดยเริ่มต้นจากการประทับชื่อรุ่น ‘OXFORD’ บนบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างของรถยนต์มินิ Oxford Edition เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะมาถึงการผลิตกรอบไฟเลี้ยวในดีไซน์พิเศษเฉพาะตัวของเจ้าของรถแต่ละคนในรถยนต์มินิ Ice Blue Edition ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกสี ดีไซน์ และตัวอักษรได้ด้วยตัวเอง เสริมสร้างให้ตัวรถมีเอกลักษณ์แตกต่างมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะมุ่งสานต่อวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนด้วยการเริ่มต้นเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง(High-Voltage Battery – HVB) ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก โดยนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 เป็นต้นมา พนักงานของแดร็คเซิลไมเออร์ได้เข้าร่วมการอบรมพิเศษที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในเมืองดิงกอลฟิง ประเทศเยอรมนี เพื่อวางรากฐานเชิงทักษะสำหรับการประกอบแบตเตอรี่ดังกล่าว ก่อนที่จะเริ่มต้นสายการประกอบอย่างเป็นทางการ ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 ในปีนี้
มร. อูเว่ ควาส กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกับอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมศักยภาพการผลิตของเราให้พร้อมสำหรับทุกแนวโน้มในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มความต้องการยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก หรือศักยภาพในการปรับแต่งรถยนต์แต่ละคันให้สะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่อย่างมีสไตล์ ความสำเร็จครั้งนี้ยังถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โรงงานในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการประกอบรถยนต์ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในด้านการประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น บีเอ็มดับเบิลยู 530e หรือบีเอ็มดับเบิลยู 740Le ทั้งนี้ เรายังได้เริ่มนำนวัตกรรมอื่นๆ มาเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์และรถยนต์ไร้คนขับ (AMV) เทคโนโลยีสแกนเนอร์ 3 มิติสำหรับวางผังโรงงาน หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาผสานกับสายการประกอบรถยนต์โดยตรง”
ปัจจุบัน โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการประกอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดถึง 12 รุ่น เช่น บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Turismo บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 บีเอ็มดับเบิลยู X1 และล่าสุดกับบีเอ็มดับเบิลยู X3 อันถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพในภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของประเทศไทย และสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์พรีเมียมในระดับภูมิภาค
ในส่วนของการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย มร. อูเว่ กล่าวว่า “โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมความรู้ความสามารถในด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ (Mechatronics) นั้น ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาและวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เพื่อมอบประสบการณ์จากการฝึกปฏิบัติงานจริงกับช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ โดยหากผ่านการทดลองปฏิบัติงานในระหว่างที่ร่วมโครงการ พวกเขาจะได้รับโอกาสในการเข้าทำงานกับผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ โครงการนี้ถือเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในอนาคต ซึ่งจะเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียนต่อไป”
เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้เชิงลึกทางเทคนิคผ่านโอกาสในการสัมผัสนวัตกรรมระดับโลก ทางโครงการได้คัดเลือกนักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาและวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ให้ไปทัศนศึกษายังถิ่นกำเนิดของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในประเทศเยอรมนีเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม นักศึกษาทุกคนได้ร่วมพูดคุย สัมผัส และแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการขนส่ง เช่นรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (Automated Guided Vehicle – AGV) กับนักศึกษาวิชาชีพชาวเยอรมัน รวมถึงได้ร่วมทัวร์โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในเมืองเบอร์ลินอีกด้วย
“ตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกของผมกับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผมมีความประทับใจในความร่วมแรงร่วมใจของทีมงานทุกฝ่ายที่ได้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของโรงงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขยายสายการผลิต การเติบโตของยอดการส่งออก และจำนวนผู้มาเยี่ยมชมโรงงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผมก็มั่นใจว่าปี 2562 นี้ จะเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จของเราในการส่งมอบยนตรกรรมเหนือระดับอันเปี่ยมด้วยคุณภาพ ที่ขับเคลื่อนให้เราสามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดและยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ทัดเทียมระดับสากล” มร. อูเว่ กล่าวสรุป
มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายังคงทำงานประสานกับทุกฝ่ายในบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยและเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุกก้าว นับตั้งแต่ตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู การเติบโตของฐานลูกค้าใหม่ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมาได้ช่วยเพิ่มมูลค่าสินเชื่อรวมในพอร์ตของเราเป็น 4.64 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่เช่นกัน ส่วนการเปิดตัวช่องทางสื่อสารกับลูกค้าผ่านไลน์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่สะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการตอบสนองความต้องการและมอบความสะดวกที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า”
“ปี 2561 ที่ผ่านมายังเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญสำหรับบริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินล่าสุดของเราอย่าง BMW FREEDOM CHOICE และ MINI FREEDOM CHOICE ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหรือมินิในรูปแบบใหม่ที่ช่วยการันตีมูลค่าของตัวรถในอนาคต พร้อมเสนอทางเลือกเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ หรือการเริ่มต้นสัญญาใหม่สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหรือมินิคันใหม่” มร. บียอร์น กล่าวสรุป
ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดรุ่นใหม่ในปี 2562
- บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 2,959,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
- บีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 3,359,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ได้พิสูจน์ถึงความเป็นที่สุดแห่งยนตรกรรม หรือ “Ultimate Driving Machine” ด้วยเอกลักษณ์ดีไซน์ที่ทันสมัย สมรรถนะที่ปราดเปรียว ประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ รวมถึงนวัตกรรมล้ำยุค ที่ครองใจแฟน ๆ มาทุกยุคทุกสมัย จนมาสู่รุ่นล่าสุดกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 โฉมใหม่ ที่กลับมาอีกครั้งในเจเนอเรชั่นที่ 7 กับการพัฒนาทั้งในด้านดีไซน์ ระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีการขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับยิ่งขึ้น อันเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 โฉมใหม่ มาในดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา ตอกย้ำความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งและคมชัด ด้านหน้าของตัวรถมาในรูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้นในกรอบที่เชื่อมกับไฟหน้าคู่ LED ทรงเรียวยาวดีไซน์ใหม่ล่าสุด รับกับช่องดักอากาศรูปทรง T เพิ่ม
ความโดดเด่นให้แก่ด้านหน้าของรถ ด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยกรอบหน้าต่างดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar มอบมิติไร้ขอบหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เรียวยิ่งขึ้นในรูปทรง L แนวนอนสีหม่นแบบสามมิติ และท่อไอเสียแบบคู่ให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม
การออกแบบโครงสร้างและเทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 มอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความสปอร์ตและความนุ่มสบายไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประสิทธิภาพของชุดเบรกที่เหนือชั้น จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 นอกจากนี้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 55 กิโลกรัม จากการใช้วัสดุอลูมิเนียมในชิ้นส่วนและโครงสร้างต่าง ๆ เช่น กระโปรงและกันชนหน้า ส่วนการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ช่วยเสริมสมรรถนะ
การขับขี่ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำถึง 0.26 ลดลง 0.03 จากรุ่นก่อนหน้า ทั้งจากระบบ Active Air Flap แผ่นปิดด้านในกระจังหน้าไตคู่เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด และการจัดระเบียบทิศทางการไหลของอากาศผ่าน Air Curtains ที่ช่วยลดแรงเสียดทานอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistant) ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ในบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport รวมถึงระบบการเชื่อมต่อ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไรขีดจำกัด และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport
- บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 3,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
- บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
รถสปอร์ตโรดสเตอร์สุดคลาสสิก บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมแล้วที่จะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโฉมใหม่ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า ผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนทุกชั่วขณะของความเพลิดเพลินบนท้องถนน ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศสุดหรูหราในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
งานออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรดสเตอร์พันธุ์แท้ด้วยตัวถังเปิดประทุน แบบสองที่นั่ง พร้อมหลังคาผ้าใบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนกระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์ใหม่แบบตะแกรง เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาว ไฟหน้า LED ที่จัดเรียงในแนวตั้ง และช่องรับลมขนาดใหญ่บริเวณซุ้มล้อหน้า ขณะที่ส่วนท้ายรถก็ขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ซึ่งซ่อนพื้นที่เก็บของที่มีความจุถึง 281 ลิตร มากกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 50%
บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสองรุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 190กิโลวัตต์/ 258 แรงม้า และเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.4 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เสริมความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบที่ส่งพลังถึง 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้าลงสู่ล้อหลัง
เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที ขณะที่ระบบ Driving Experience Control ในทั้งสองรุ่น สามารถปรับแต่งลักษณะการขับขี่ให้ตรงกับทุกความต้องการ นับจากการโลดแล่นบนท้องถนนในวันสบายๆ ใน
โหมด COMFORT ไปจนถึงความแม่นยำและเฉียบคมสไตล์สปอร์ตในโหมด SPORT และ SPORT+
ทุกสัดส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเสริมความคล่องแคล่วและเพรียวลมบนท้องถนน กระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50 โดยบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport เสริมความโฉบเฉี่ยวจากทุกมุมมองด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคัน เบาะนั่งหนังแท้ Vernasca พวงมาลัยหนังแท้ และห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Quartz Silver ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เติมความดุดันด้วยระบบช่วงล่างสมรรถนะสูง Adaptive M Suspension ระบบเบรก M Sport เบาะนั่ง M Sport หนังแท้ Vernasca พร้อมพวงมาลัยหนังแท้ดีไซน์ M และเข็มขัดนิรภัยลาย M แผงคอนโซลวัสดุSensatec และชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon
ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ครบครันกว่ารถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นไหนๆ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจบนทุกเส้นทาง ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลล้วน และหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้วที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น
- มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี (60 Years Edition) ยังไม่ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ปี 2562 นี้ นับเป็นปีที่ 60 แห่งประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของมินิ รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก และเพื่อเริ่มต้นศักราชแห่งการเฉลิมฉลองนี้ มินิได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นพิเศษ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ที่มาในดีไซน์สุดคลาสสิก ตามสไตล์มินิแบบเรโทรที่เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร
ดีไซน์ภายนอกของ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาในสี British Racing Green สะดุดตา ตัดขอบสีดำ Piano Black พร้อมด้วยหลังคาและที่ครอบกระจกสีดำ รอบคันโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 60 ปี ตกแต่งเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าด้านซ้าย กรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง รวมถึงไฟ LED ฉายสัญลักษณ์ 60 ปี จากประตูคนขับ นอกจากนี้ ยังสร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วในลาย 60 ปี 2 สี สุดพิเศษ และยังคงประกาศตัวตนแห่งสัญชาติอังกฤษด้วยไฟท้าย LED ลายธงยูเนียนแจ็คอันเฉพาะตัวของมินิ
ภายในห้องโดยสารของมินิรุ่นพิเศษนี้ ยังโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเฉพาะเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี โดยมีโลโก้ 60 ปีปรากฏบนพวงมาลัยและบนที่นั่งด้านหน้า ซึ่งเป็นเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge 60 Years สี Dark Maroon ตัดกับตะเข็บสีเขียวเข้ากับสีตัวถังสุดพิเศษนี้
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาพร้อมด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ให้พละกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,600 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 6.7 วินาทีสำหรับมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู พร้อมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัยล้ำสมัยเพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง
- บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ ราคาจำหน่าย: 399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูลสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบทัวริ่งในสไตล์แกรน ทัวริสโม ให้เพลิดเพลินทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ระยะใกล้หรือไกล
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หนึ่งสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ มอบพละกำลังสูงสุด 25 กิโลวัตต์ (34 แรงม้า) ที่ 7,500 รอบต่อนาที ทำงานเข้าจังหวะกับระบบเกียร์ CVT และสวิงอาร์มที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนและมอบความนุ่มสบายในขณะขับขี่ ส่วนระบบ Automatic Stability Control (ASC) ก็ช่วยให้ตัวรถมั่นคง ปลอดภัยขณะเร่งความเร็ว แม้บนพื้นถนนที่เปียกและลื่น
นอกจากเฟรมเหล็กกล้าที่มอบความแข็งแกร่งให้กับระบบช่วงล่างเช่นเดียวกับในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ยังมาพร้อมโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิก โช้คหลังแบบสปริงสตรัทคู่ พร้อมด้วยดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง และระบบ ABS เพื่อมอบความปลอดภัยด้วยแรงเบรกแบบเต็มประสิทธิภาพ
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT โฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์ที่ผสานทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไฟหน้าคู่ LED สร้างเอกลักษณ์โดดเด่นในสไตล์มอเตอร์ไซค์ตระกูล C พร้อมไฟ LED ส่องสว่างตอนกลางวัน daytime running light และไฟ Control Brake Light ตอกย้ำความเป็นแกรน ทัวริสโมด้วยกระจกบังลมที่ได้รับการออกแบบมาให้สูงกว่าบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X และช่องเก็บของแบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองส่วนเพื่อความสะดวกสบายและเป็นระเบียบ พร้อมด้วยช่องเก็บหมวกกันน็อก Flexcase ที่พับเก็บอยู่ใต้เบาะแบบตอนเดียว อีกทั้งยังมอบความสะดวกสบายให้แก่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยพนักพิงแยกบนที่นั่งสำหรับผู้ขับขี่ และบอร์ดวางเท้าสำหรับผู้โดยสาร ให้ขับขี่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ตอบได้ทุกโจทย์ในชีวิตประจำวัน
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ล้ำสมัยด้วยหน้าจอสีมัลติฟังก์ชั่น TFT Screen ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีเชื่อมต่อ BMW ConnectedRide และระบบ Keyless Ride โดยมาให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว Alpine White สีเทา Moonwalk Grey Metallic และสีดำ Blackstorm Metallic
สามารถดูข้อมูลและรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่ https://tinyurl.com/BMWannual2019