ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ในการเข้ามาทำตลาดอีคอมเมิร์ซในเมืองไทยของ “ลาซาด้า ประเทศไทย” อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่มีผู้เล่นระดับโลกกระโจนเข้าสู่ประเทศไทยกันอย่างคึกคัก ลาซาด้าก็ยังคงสามารถรักษาตำแหน่งแพลตฟอร์มออนไลน์อันดับหนึ่งของเมืองไทยไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะแคมเปญ Online Festival 11.11 และ 12.12 ที่สร้างสถิติยอดขายในไทยสูงถึงกว่า 2 พันล้านบาทในแต่ละแคมเปญ และมียอดขายสูงกว่าช่วงเวลาปกติถึง 17 เท่า
ความสำเร็จของลาซาด้าถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแข่งขันด้านการตลาดที่รุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ยอดขายของลาซาด้าและร้านค้าพาร์ทเนอร์ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลัก 5 ประการ คือ
1. แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง
ลาซาด้าถือเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2018 ที่ทาง Alibaba ได้เข้ามาร่วมลงทุนเพิ่มอีกกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งภายใต้ความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานจาก Alibaba ผนวกกับความเข้าใจด้านตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลาซาด้าจึงมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การช้อปปิ้งออนไลน์ของคนรุ่นใหม่ครบทุกความต้องการ อาทิ Chat ให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลกับเจ้าของร้านค้าได้โดยตรง, Shake it เขย่ามือถือเพื่อรับส่วนลดฟรี, สินค้าแนะนำ มีสินค้าที่ตรงกับความต้องการบนแอปพลิเคชัน, ติดตามร้านโปรด สามารถกดติดตามร้านค้าโปรดเพื่อรับข่าวสารเกี่ยวกับดีลสุดพิเศษ และ รายการสินค้าใหม่
2. การขายสินค้าแบบนำเข้า (Cross-boarder sellers)
เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของลาซาด้า สำหรับการนำแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพจากผู้ค้าข้ามพรมแดน (Cross-border sellers) มานำเสนอบนแพลตฟอร์มของลาซาด้า ที่ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกใหม่ๆ ในการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้ลาซาด้าได้มีการอัพเกรด “โกลบอล คอลเลคชั่น” (Global Collection) หรือช่องทางการซื้อขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มลาซาด้า เป็น “โกลบอล คอลเลคชั่น 2.0” โดยพัฒนาฟังก์ชั่นช่วยการค้นหาด้วยอัลกอริทึมการคัดกรองประเภทสินค้าข้ามพรมแดนและแสดงผลผู้ขายสินค้าคุณภาพและได้รับความนิยม ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าเหล่านั้นได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
3. ดูแลร้านค้าพาร์ทเนอร์ด้วยระบบเครื่องมือการขายที่ครบวงจร
แม้ปัจจุบันร้านค้าออนไลน์จะมีช่องทางการขายสินค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือกระทั่งการเปิดเว็บไซต์ส่วนตัวเพื่อขายสินค้า แต่ผู้ค้าส่วนมากก็ยังเลือกใช้แพลตฟอร์มลาซาด้า เพราะลาซาด้ามีเครื่องมือส่งเสริมการขายแบบครบวงจร และช่วยส่งเสริมให้ผู้ขายสามารถขายสินค้าได้อย่างมืออาชีพในทุกๆ ด้าน อาทิเช่น
- Seller Picks สินค้าแนะนำ เครื่องมือบูสสินค้าได้ฟรี เพิ่มการมองเห็นสินค้าของคุณ
- Business Advisor เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจที่ช่วยให้ผู้ขายวิเคราะห์ วางแผนธุรกิจ ดูยอดขาย และ เช็คสต๊อคสินค้าแบบเรียลไทม์
- Service Market Place ศูนย์รวมบริการที่ช่วยสนับสนุนผู้ขายในการออกแบบกราฟฟิก เขียนคอนเทนท์ตกแต่งร้านค้า สินเชื่อเงินสด ดูแลหลังการขายตอบแชท และ ระบบจัดการยอดขาย
นอกเหนือไปจากเครื่องมือการขายแล้ว ทางลาซาด้า ยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่คุ้มค่า อาทิ คอมมิชชั่น 0% รวมถึง ระบบการจ่ายเงินหลากหลาย รองรับการชำระเงินปลายทาง และ ระบบโลจิสติกส์ที่ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับในอนาคต ลาซาด้า ประเทศไทย เตรียมความพร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีต่างๆ ที่คัดสรรไว้บนแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น LazMall Badge, Flagship Store และ Seller Picks ที่ช่วยให้ร้านค้าชั้นนำและผู้ค้ามี Conversion Rate ที่สูงขึ้น และ ยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า รวมไปถึงสามารถเพิ่มยอดขายได้ดี รวมถึงการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจกับมหาวิทยาลัยลาซาด้า เพื่อช่วยเหลือผู้ค้าให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขั้น
4. แผนการตลาดที่ครอบคลุมทุกสื่อ
ถึงจะเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ ลาซาด้าได้วางกลยุทธ์การใช้สื่อที่ครอบคลุมทุกช่องทางแบบ 360 องศา เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อทีวี สื่อออนไลน์ ไปถึงสื่อนอกบ้าน (Out Of Home) อาทิ ดิจิทัลบิลบอร์ด สื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ขณะเดียวกันก็ยังทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างครอบคลุม ทั้ง LINE Facebook Instagram Twitter และการทำ Live Stream รวมถึงการเข้าไปเป็น TV Tie-in โดยจะเน้นสร้างการรับรู้ (Awareness) ไปสู่ผู้บริโภค
5. แคมเปญโปรโมชั่นที่หลากหลาย
การทำแคมเปญโปรโมชั่น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแต่ละร้านค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติ ซึ่งตลอดทั้งปีลาซาด้าก็มีการจัดแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น คูปองส่วนลด ทั้งแบบที่ลูกค้าสามารถกดรับไว้ใช้ภายหลัง และโค้ดส่วนลดทันที, สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตพาร์ทเนอร์, Flash Sale ฯลฯ
แต่แคมเปญโปรโมชั่นที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการพูดถึงมากที่สุด คงหนีไม่พ้นมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 และ 12.12 ที่จัดขึ้นพร้อมกันใน 6 ประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ที่มีร้านค้ากว่า 70% เข้าร่วมแคมเปญนี้ โดยตลอดระยะเวลาของแคมเปญสามารถสร้างยอดขายมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาทในประเทศไทย และ ยอดขายของร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ที่สำคัญสินค้ากว่า 200,000 ชิ้นถูกขายหมดภายในชั่วโมงแรก
รวมไปถึงแคมเปญใหญ่อย่าง “LAZADA 7th Birthday” แคมเปญเฉลิมฉลองวันเกิดของลาซาด้าซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงต้นปีที่ลูกค้าตั้งตารอไม่แพ้แคมเปญ 11.11 และ 12.12 โดยในปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2562 วันเดียวเท่านั้น แต่จะมีช่วงเวลาให้สามารถร่วมเล่นเกมส์-เก็บคูปอง-เพิ่มดีลลงรถเข็น ตั้งแต่วันที่ 21-26 มีนาคม 2562
แคมเปญ “LAZADA 7th Birthday” ครบรอบ 7 ปีลาซาด้า ในปีนี้ก็ถือว่ามีการทำการตลาดอย่างเข้มข้น ได้แก่การคลุมขบวนรถไฟฟ้า BTS ทั้งขบวน ทั้งภายในและภายนอก โดยภายในขบวนจะทำการฉายโฆษณาของลาซาด้าเพียงแบรนด์เดียวตลอด 15 วัน รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตสุดพิเศษ “LAZADA Super Party” ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีศิลปินระดับโลกอย่าง DUA LIPA และศิลปินไทย อย่าง Urboy TJ ที่ทางลาซาด้าได้จัดกิจกรรมพาผู้โชคดีบินลัดฟ้าไปชมคอนเสิร์ตกันแบบฟรีๆ เพียงรวมสนุกผ่านช่องทางต่างๆ
แน่นอนว่าแคมเปญใหญ่ระดับนี้ ทางลาซาด้าได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มจากช่วงเวลาปกติไม่ต่ำกว่า 10 เท่า ซึ่งนอกจากลูกค้าที่จะต้องเตรียมตัวจับจ้องดีลสุดพิเศษ อาทิ Flash Sale, Crazy Flash Sale, Brand Mega Offers, Slash It, Group Buy และพิเศษเมื่อซื้อสินค้าต่ำกว่า 149 บาท ลาซาด้าก็จัดส่งฟรีทั่วไทย! รวมไปถึงคูปองส่วนลดและคูปองส่งฟรีต่างๆ แล้ว ทางฝั่งของร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญต้องบริหารจัดการสต๊อกสินค้า และ วางแผนการทำโปรโมชั่นให้ดีเพื่อรับมือกับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน มาเริ่มเป็นผู้ขายได้ง่ายๆ ที่ LAZADA คลิก http://bit.ly/SellwithLAZADA