แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เผยสถานการณ์ทิศทางตลาดแรงงานชะลอตัว แนะองค์กรธุรกิจเตรียมรับมือเร่งพัฒนาคนด้านทักษะแรงงานและด้านการศึกษา โดยเฉพาะทักษะความรู้ทางด้านเทคโนโลยี (High-Tech Skill) ชูจุดแข็งมืออาชีพด้านการบริหารจัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลูกค้าลดค่าใช้จ่ายและคัดสรรบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมเผยผลประกอบการปี 2561 กวาดรายได้ 4,500 ล้านบาท เติบโต 12 เปอร์เซ็นต์
มร.ไซมอน แมททิวส์, ผู้จัดการประจำประเทศไทย, แถบตะวันออกกลาง และเวียดนาม แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ผู้นำที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงานกว่า 80 ประเทศทั่วโลก และในประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจระดับโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว จะเห็นได้จากเศรษฐกิจประเทศจีนชะลอตัวและยังมีเรื่องของสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีน ส่วนในประเทศไทย ล่าสุดประกาศให้มีการเลือกตั้งและนโยบายการลงทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor Development (EEC) อย่างต่อเนื่องของภาครัฐ นับเป็นช่วงที่ต้องมองทิศทางประเทศไทยปีนี้ อันมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้ อย่างไรก็ตามประเทศไทยควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ โดยจะต้องมีการส่งเสริมพัฒนาคนด้านทักษะแรงงานและด้านการศึกษา อีกทั้ง จากการที่ภาครัฐได้กำหนดนโยบายการปฏิรูประดับประเทศโดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ที่เป็นการพัฒนาและต่อยอดกลุ่มธุรกิจเดิมที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะทักษะความรู้ทางด้านเทคโนโลยี (High-Tech Skill) ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงมากในปัจจุบัน
จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนและการแข่งขันทางธุรกิจ หลายองค์กรมุ่งการบริหารจัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับการให้บริการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในบทบาทที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงาน เราพัฒนาบริการและโซลูชั่นที่มีความยืดหยุ่นรองรับกับลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ด้วยการบริการหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจ้างงานแบบประจำ งานชั่วคราว งานสัญญาจ้าง รวมไปถึง งานรับเหมาประเภทต่างๆ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ด้วยการให้บริการแรงงานข้ามชาติ (Borderless Talent Solutions) และการให้บริการสรรหาผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง (Experis) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูงในปัจจุบัน ถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ EEC ที่ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านด้านต่างๆ รองรับการลงทุนจากทั้งจากภาครัฐ เอกชนและนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับผลประกอบการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ในปี 2561 มีการเติบโต 12 เปอร์เซ็นต์ ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และยังมีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ยังได้ทำการสำรวจกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการที่ตรงกับความต้องการลูกค้าเสมอมา
นายวรรณชัย ไพบูลย์บารมี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป กล่าวว่า แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าขยายงานทั้งในส่วนของการบริการ การพัฒนาด้านนวัตกรรมแรงงาน และจัดหาแรงงานที่ตอบโจทย์ตลาด โดยได้รับการตอบรับที่ดีด้วยความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และแรงงานทุกระดับ โดยครอบคลุมตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่จนถึงเอสเอ็มอี ปัจจุบัน แมนพาวเวอร์กรุ๊ปมีสัดส่วนลูกค้าแบ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ 35เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้บริการสรรหาบุคลากรด้านการขายและการบริการลูกค้า กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมด้านการผลิตและโลจิสติกส์ 25 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มเอสเอ็มอี 15เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีกลุ่มแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 15% ซึ่งยังมีบริการพิเศษเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นสายงานที่ต้องการแรงงานเฉพาะทาง เข้ามาตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 อาทิ ทักษะความเชี่ยวชาญด้านโรโบติกส์ กลุ่มนี้มีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ และกลุ่มอื่นๆ อีก 10%
ทั้งนี้ เรามีกลยุทธ์ 3 ส่วนหลักในการรับมือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ คือ 1. มุ่งเน้นการบริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง 2. การพัฒนาบุคลากรของเราให้มีความเชี่ยวชาญและปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการมีนวัตกรรมในองค์กร 3. การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในกระบวนการด้านทรัพยกรบุคคลเชื่อมต่อกับพนักงาน ลูกค้าและผู้สมัครงานเพื่ออำนวยความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึง
“สำหรับบริการที่แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี คือ บริการ “บิสซิเนสโซลูชั่น (Business Solutions)” ที่มาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการบริหารจัดการแรงงานในเชิงนวัตกรรม คำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของลูกค้า โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ป เข้าไปทำงานร่วมกับลูกค้าในการบริหารจัดการกลุ่มแรงงานที่ลูกค้าต้องการด้วยการบริหารเชิงผลลัพธ์ผ่านตัวชี้วัดของงาน ซึ่งเป็นบริการแบบเต็มรูปแบบ ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่าย และยังลดภาระด้านการบริหารจัดการแรงงานด้วย พร้อมยังมีบริการส่งออกแรงงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของลูกค้าที่มีการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม AEC ถือเป็นแผนรับมือของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปที่สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค 4.0 ” นายวรรณชัย กล่าว
ทางด้านนางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป กล่าวว่า จากผลการสำรวจอัตราความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันมีสัดส่วนความต้องการจัดเป็น 10 อันดับ ดังนี้
10 อันดับสายงานที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ได้แก่
- งานขายและการตลาด 22.65 เปอร์เซ็นต์
- งานบัญชีและการเงิน12.16 เปอร์เซ็นต์
- งานวิศวกร และการผลิต 8.62 เปอร์เซ็นต์
- งานไอที 8.11 เปอร์เซ็นต์
- งานธุรการ 7.15 เปอร์เซ็นต์
- งานบริการลูกค้า 6.39 เปอร์เซ็นต์
- งานระยะสั้นต่างๆ 6.28 เปอร์เซ็นต์
- งานระดับผู้บริหาร 5.63 เปอร์เซ็นต์
- งานทรัพยากรบุคคล 5.02 เปอร์เซ็นต์
- งานโลจิสติกส์ 3.04 เปอร์เซ็นต์
10 อันดับแรกสายงานที่เป็นที่ต้องการของแรงงาน ได้แก่
- งานขายและการตลาด 22.57 เปอร์เซ็นต์
- งานวิศวกร 13.42 เปอร์เซ็นต์
- งานธุรการ 11.48 เปอร์เซ็นต์
- งานทรัพยากรบุคคล 8.66 เปอร์เซ็นต์
- งานบัญชีและการเงิน 8.57 เปอร์เซ็นต์
- งานบริการลูกค้า 8.26 เปอร์เซ็นต์
- งานโลจิสติกส์ 6.42 เปอร์เซ็นต์
- งานไอที 4.73 เปอร์เซ็นต์
- งานระดับผู้บริหาร 4.18 เปอร์เซ็นต์และ
- งานด้านการผลิต 4.14 เปอร์เซ็นต์
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ธุรกิจการบริการ ได้แก่ ขนส่งและโลจิสติกส์ , ค้าปลีกค้าส่ง, บริการเฉพาะกิจ และที่ปรึกษาด้านต่างๆ รองลงมา คือ ธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ , วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ อันดับสาม คือ ธุรกิจด้านเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
“อย่างไรก็ตามในภาพรวมของสถานการณ์ตลาดแรงงานแม้จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่อัตราการว่างงานลดลงเมื่อเทียบระหว่างปี 2561 กับ 2562 อยู่ที่ 0.04 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายการปฏิรูปประเทศไทย และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ทำให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลาดแรงงาน และภาคการศึกษาทุกฝ่ายตื่นตัว มีการตั้งรับและวางแผน รวมถึงบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนตนเอง องค์กรและประเทศไทยก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันนับว่าเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องรับมือให้ทันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป” นางสาวสุธิดา กล่าวทิ้งท้าย