ไอ้เรืองถอยไป เพราะงานนี้ Facebook น่าจะเจ๋งกว่าไอ้เรืองไปแล้ว กับการจดสิทธิบัตรนำเทคโนโลยี Computer Vision ตรวจจับภาพที่ผู้ใช้งาน Facebook อัพโหลดขึ้นมาบนระบบว่ามีแบรนด์อะไรซ่อนอยู่ในนั้นบ้าง ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปช่วยในการยิงโฆษณาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
สิทธิบัตรตัวนี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Computer-vision content detection for sponsored stories โดยเบื้องหลังเป็นการทำงานร่วมกันของระบบ Computer Vision กับดาต้าที่ว่าผู้โพสต์อยู่ ณ จุดใดในแผนที่โลก (geographic location) โดยอัลกอริธึมจะทำการวิเคราะห์ว่า ในภาพที่ผู้ใช้งานอัพโหลดขึ้นไปทั้งบน Facebook และ Instagram นั้น มีแบรนด์อะไรบ้าง เพื่อทำการรวบรวมข้อมูลแล้วส่งต่อ (ขาย) ให้แต่ละแบรนด์ต่อไปนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น การโพสต์ภาพเซลฟี่กับแก้วกาแฟของร้าน Starbucks เมื่อระบบ Computer Vision ตรวจจับได้ว่าในภาพมีแบรนด์ Starbucks อยู่ มันก็จะบันทึกว่า ผู้โพสต์มีแนวโน้มว่าเป็นคนที่ชื่นชอบ Starbucks และมีโอกาสพบเห็นโฆษณาของ Starbucks ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาพของเราไม่ได้มีประโยชน์แค่นั้น เพราะ Facebook ยังสามารถใช้ภาพการเซลฟี่กับแก้วกาแฟ Starbucks เป็นคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์ (sponsored story) และยิงไปหาเพื่อน ๆ ของเราได้ด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำมาวิเคราะห์ และช่วยให้แบรนด์ทำโฆษณาออนไลน์ได้อีกต่อ โดยในจุดนี้จะทำงานร่วมกับข้อมูล Demographic ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์เหล้าวอดก้า A อยากทราบว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 27 – 35 ปีที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองใหญ่นิยมดื่มวอดก้ามากแค่ไหน Facebook ก็สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ไล่วิเคราะห์ภาพถ่ายต่าง ๆ ในระบบว่ามีใครเข้าเกณฑ์บ้าง และสร้างออกมาเป็น Heat Map ให้ทราบว่าประชากรเหล่านั้นกระจายตัวอยู่ ณ จุดใด
การมีเทคโนโลยี Computer Vision ยังช่วยให้ Facebook เข้าใจพฤติกรรม และความชอบของผู้ใช้งานได้ลึกมากขึ้น จากเดิมที่เคยต้องอาศัยข้อมูลอย่างการกด Like เพจ หรือกด Like คอนเทนต์ต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณา และในอีกด้าน Facebook ยังรู้ดีว่าผู้ใช้งานของตัวเองทุกวันนี้ ไม่ชอบโฆษณา ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนจากดูโฆษณาแบรนด์ต่าง ๆ มาเป็นการเห็นคอนเทนต์เพื่อนของเรา (ที่มีแบรนด์สินค้าแทรกลงไป) แทน ผู้ใช้งานก็คงจะมีความสุขมากขึ้น
สำหรับผู้ใช้ Facebook งานนี้อย่าเพิ่งร้อนใจ หรือคิดว่าจะถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว (อีกแล้ว) เพราะมันยังเป็นแค่สิทธิบัตรเท่านั้น ยังไม่มีการเปิดเผยว่า Facebook จะนำมาใช้จริงหรือไม่ อย่างไร แต่ถ้านำมาใช้งานจริง ก็น่าตั้งคำถามเหมือนกันว่า เอาภาพเราไปยิงใส่ฟีดของเพื่อนเราอย่างนี้ ใครจะจ่ายเงินค่าโฆษณาให้บ้างไหมนะ