กลายเป็นหนึ่งสัญลักษณ์คู่กับเทศกาลสงกรานต์ในกรุงเทพฯ ไปแล้ว สำหรับ S2O เทศกาลดนตรีสายพันธุ์ไทย ที่ถือกำเนิดขึ้นมาได้ 5 ปี แล้ว จากปีแรกๆ ที่ต้องลุ้นจนนาทีสุดท้ายกว่าบัตรจะ Sold Out จนสามารถพิสูจน์ได้ถึงความต่างในการมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้คนไทยด้วยงานเทศกาลดนตรีที่มาพร้อมกับความเย็น ชุ่มฉ่ำของน้ำ และความสุข สนุกสนานในเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ S2O กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กงานสงกรานต์ในกรุงเทพฯ ที่ทุกคนรอคอย รวมทั้งบัตรที่สามารถ Sold Out ได้ หลายสัปดาห์ก่อนที่งานจะเริ่ม
คิดใหญ่ตั้งแต่เริ่มสร้าง
สำหรับจุดเริ่มต้นของ S2O นั้น วู้ดดี้ -คุณวุฒิธร มิลินทจินดา กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟ และ คุณปุลิน มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operation Officer) บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์และผู้จัดงาน S2O ให้ข้อมูลว่า คำถามที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ S2O เกิดขึ้นคือ เราจะสามารถทำให้เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็น Culture ของไทย กลายเป็นที่รู้จักระดับโลกได้หรือไม่ เหมือนกับที่คนทั่วโลกรู้จักอาหารไทย หรือมวยไทย พร้อมด้วยคำตอบที่เป็นคนให้กับตัวเองว่า ถ้าเราอยากให้ภาพแบบนั้นเกิดขึ้นได้จริง เราก็ต้องเริ่มทำด้วยตัวเอง ทำให้นำมาสู่จุดเริ่มต้นในการสร้าง S2O ขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2015
วู้ดดี้ พูดถึง วันแรกที่คิดจะสร้างแบรนด์ S2O ขึ้นมานั้น ไม่ได้มองแค่ภาพของการจัดปาร์ตี้สนุกๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์แค่นั้น แต่มองถึงความสามารถในการต่อยอดให้กลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกไว้ตั้งแต่วันแรก ผ่านการขายคัลเจอร์ ขาย Thainess โดยมีน้ำเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ผสมผสานกับเรื่องของดนตรี และพยายามใส่กิมมิคสนุกๆ ลงในเนื้องานให้ต่างชาติสนใจ ให้มองเห็นว่าคนไทยก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีความน่าสนใจไม่ต่างจาก International Platform รวมทั้งอยากที่จะนำงานเช่นนี้ไปจัดในประเทศของตัวเองบ้าง
“เรามีเป้าหมายเดียวกับสิ่งที่ Music Festival หลายๆ แบรนด์ระดับโลกสามารถทำได้ โดยมุ่งมั่นไว้ในใจว่าในวันหนึ่ง S2O จะต้องเติบโตและไปสู่จุดนั้นให้ได้ และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา S2O เติบโตและมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนคนมาร่วมงาน จากในปีแรก เมื่อปี 2015 มีจำนวนคนร่วมงาน 35,000 คน ก่อนจะเพิ่มเป็น 45,000 คน, 48,000 คน และปีล่าสุด 2018 ที่ผ่านมา มีคนเข้ามาร่วมงานเพิ่มเป็น 54,000 คน ขณะที่ในปี 2019 นี้ คาดว่าจะมีคนเข้ามาร่วมงานถึง 60,000 คน หรือเฉลี่ยประมาณวันละ 20,000 คน สะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มมากขึ้นในทุกปี รวมทั้งในแง่ของแบรนด์ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีคนไทยจากหลายๆ จังหวัดที่ตั้งใจเดินทางมาร่วมสนุกในงาน หรือแม้แต่ชาวต่างชาติทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งในเอเชียอย่างจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ที่ตั้งใจบินมาท่องเที่ยวในไทยช่วงสงกรานต์และมาร่วมสนุกใน S2O ด้วยเช่นกัน”
วู้ดดี้ ตอบคำถามว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง จากการโกอินเตอร์ของ S2O แน่นอนว่า เรื่องของธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติเดินทางเข้ามาร่วมเทศกาลดนตรีในครั้งนี้ ด้วยสัดส่วน 30% ของคนที่มาในงานจะเป็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใน กทม. ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับจาก ททท. ว่า จากที่ก่อนหน้านี้ กทม. ถือว่าอยู่ในช่วง low Season ของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะคนอาจจะไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ จนโรงแรมทั่ว กทม. มีห้องว่างจำนวนมาก แต่หลังจาก S20 แข็งแรงและเริ่มเป็นที่รู้จัก จำนวนนักท่องเที่ยวใน กทม. และที่พักต่างๆ ก็เริ่มคึกคักมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นการมองแค่ในมิติของธุรกิจท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะหากจะมองทั้ง Ecosystem ที่เชื่อมโยงกันใน S2O ยังมีหลายมิติที่จะสามาาถเกิดการพัฒนาได้มากขึ้น ทั้งการมาออกร้านของธุรกิจอาหาร หรือการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทั้งหลาย ทั้งจากการโชว์ และ ระบบ Payment ที่ใช้จ่ายกันภายในงาน เป็นต้น
ไม่อยากเป็นผู้ตาม ต้องทำให้ “แมส ใหญ่ ใหม่”
5 ปีผ่านไป หากเทียบ S2O เป็นเหมือนสินค้าแบรนด์หนึ่งที่กำลังทำตลาดอยู่ Product Life Cycle ของ S2O ได้ผ่านพ้นเฟสแรก เรื่องของการสร้างแบรนด์เพื่อให้คนรู้จัก ยอมรับ หรือการทำตลาดเพื่อให้สามารถอยู่รอดในตลาดได้แล้ว ต่อจากนี้จะเป็นการเข้าสู่เฟสที่ 2 ในการสร้างให้โปรดักต์สามารถขยายการเติบโตได้มากขึ้น รวมทั้งการสร้าง Brand Loyalty ที่แข็งแรงมากกว่าเดิม รวมทั้งในมิติของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใส่นวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่โปรดักต์
ซึ่งคอนเทนต์หรือกิมมิคต่างๆ ที่ S2O ใส่ลงไปในงานนั้น จะมองข้ามแค่การสร้าง Wow ในระดับประเทศ ไปสู่ความเป็นสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสดนตรี EDM หรือการนำดีเจที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเปิดแผ่นภายในงาน ซึ่งจากนี้จะต้องทำให้เข้มข้นและโฟกัสมากยิ่งขึ้น
รวมไปถึงระบบฉีดน้ำภายในงานหรือบริเวณที่เรียกว่า S2O Factory ที่จะเน้นความทั่วถึง และนำ Innovation มาใส่เพื่อให้มากกว่าเป็นแค่การปิด -เปิดน้ำ แต่จะเป็นการซิงค์จังหวะน้ำ เข้ากับบีทของดนตรี หรือทิศทางในการปล่อยน้ำเพื่อให้ประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้เข้าร่วมงาน ซึ่ง S2O จริงจังในการคิดค้น ศึกษา และวิจัย จนสามารถพัฒนาระบบในการฉีดน้ำที่มีเอกลักษณ์และแตกต่าง จนกลายเป็นนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใคร และอยู่ระหว่างการยื่นขอจดลิขสิทธิ์
“ที่สำคัญคือ เรื่องของความปลอดภัย เพราะการที่มีทั้งน้ำ และระบบ แสง สี เสียง อยู่ภายในงานเดียวกัน ซึ่งเรื่องของน้ำ และระบบไฟฟ้า ที่ตามปกติมักจะต้องอยู่สวนทางกัน ดังนั้น เรื่องของระบบ Safety ความปลอดภัยภายในงาน สำคัญสูงสุด ต้องเทสต์ระบบจนมั่นใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่น้อย และคือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่า S2O สามารถสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานที่ไม่แพ้ระดับโลก”
วู้ดดี้ สรุปปัจจัยความสำเร็จของ S2O ว่ามาจาก 3 ปัจจัย คือ “แมส ใหญ่ ใหม่” เพราะการจะขับเคลื่อนสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้คนจำได้ และได้รับการยอมรับต้องทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจ และมีส่วนร่วมได้ในวงกว้าง หรือต้องมีความเป็น Mass และต้องมองภาพให้ไกลมากกว่าแค่จุดที่ยืนอยู่ และนำเสนอสิ่งที่ยังไม่เคยมี หรือยังไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน เพราะถ้าเราทำแมส ทำใหญ่ แต่ทำในสิ่งเดิมๆ เราก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้ตามเท่านั้น
ขณะที่ คุณปุลิน กล่าวถึงจุดเด่นของ S2O คือ การสร้างประสบการณ์แบบ Unique Experience ในทุกสัมผัสให้ผู้ร่วมงานรู้สึกสนุกและตื่นตาตื่นใจ ประทับใจกับช่วงเวลาแห่งความสนุกที่จะมีเพียงหนึ่งครั้งในแต่ละปี ทำให้ทุกๆ องค์ประกอบที่ถูกนำเสนอใน S2O ผ่านการ curate หรือคัดสรรอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่ดนตรี ไม่ใช่แค่ดีเจ ไม่ใช่แค่เทคนิคตระการตา แต่คือการเรียงร้อยจัดวางทุกคอนเทนต์ภายในงานให้สอดประสานกันเพื่อพาทุกคนเข้ามาสู่อาณาจักร S2O ที่จะตื่นตาตื่นใจ สนุก มันส์ คุ้มค่ากับการรอคอย
โดยเฉพาะในปีนี้ S2O จะจัดขึ้นตลอด 3 วันเต็ม ตั้งแต่ 13-15 เมษายน 2562 นี้ ที่ Live Park ถนนพระราม 9 ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นปีที่ 5 แล้ว สเกลต่างๆ ในการจัดงานขยายให้มีการรองรับพัฒนาการที่มากขึ้น ทั้งจำนวนคนที่จะมาร่วมงาน ความสนุกและจัดเต็มที่จะได้รับจาก 5 ไฮไลท์สำคัญ คือ ดีเจระดับโลก อาทิ FAT BOY SLIM , TIESTO , STEVE AOKI , David Gravell, CAT DEALERS, 1788-L และอีกมากมาย พร้อมด้วยเวทีขนาดยักษ์ Mega Stage ที่ยาวกว่า 65 เมตร สูงเท่ากับตึก 10 ชั้น ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนก็จะสามารถเห็นเวทีได้อย่างชัดเจน สเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ของแสง สี เสียง และพลุสุดตระการตา พร้อมด้วยนวัตกรรมเทคนิคน้ำ 360 องศาที่จะสาดความเปียกไปทุกตารางนิ้ว พร้อมด้วยการสร้างเอฟเฟกต์ใหม่ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รวมไปถึงประสบการณ์ความสนุกแบบ S2O ที่จะอัพเลเวลไปอีกขั้นด้วยเซอร์ไพรซ์พิเศษตลอดงาน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลดนตรีที่ต้องมาโดนซักครั้งในชีวิต
เทียบชั้น Music Festival ระดับโลก
วันนี้สามารถพูดได้ว่า S2O กลายเป็นงานเทศกาลดนตรีแบบไทยๆ ที่สามารถโกอินเตอร์ได้ในระดับเอเชียเป็นงานแรก เพราะนอกจากจะมี S2O Bangkok ที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปีแล้ว ยังสามารถนำแพลตฟอร์ม S2O ไปจัดในเมืองใหญ่ของเอเชียอย่างในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และในไทเป ประเทศไต้หวันได้เป็นผลสำเร็จ
โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ที่ S2O ออกไปสร้างแบรนด์นอกประเทศ ตั้งแต่ปี 2018 ที่ผ่านมา ที่เมืองโอไดบะ โตเกียว โดยมีทั้งคนญี่ปุ่น และจากหลากหลายประเทศมาร่วมงานกว่า 16,000 คน และจะจัดต่อเนื่องในปีนี้ ที่เมืองชิบะ ในโตเกียวเช่นเดิม ช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่น ระหว่าง 13-14 กรกฏาคม 2019 นี้ ส่วนอีกหนึ่งเมืองคือ S2O Taipei ที่จะจัดขึ้นในไต้หวันระหว่าง 6-7 กรกฎาคม 2019 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้
“ที่ผ่านมา S2O ได้รับการติดต่อให้ไปจัดงานในหลายๆ ประเทศ ไม่ว่สเป็นประเทศเพื่อนบ้านหรือในจีน แต่สิ่งสำคัญ คือการเลือกพาร์ทเนอร์ในแต่ละประเทศ ที่ต้องรักและเข้าใจโปรดักต์ S2O เป็นอย่างดี เพราะไม่ใช่แค่การจัดคอนเสิร์ตหรืองานดนตรีทั่วๆ ไป แต่มีรายละเอียดที่ต้องให้ความสำคัญในหลายๆ ส่วน และทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในเรื่องของการมอบประสบการณ์ที่ดี และความปลอดภัยต่างๆ ทำให้เราไม่เน้นในเรื่องของปริมาณประเทศในการขยายพื้นที่ แต่เน้นว่าไปแล้วทุกคนต้องรัก S2O เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่มอบประสบการณ์แห่งความสุขให้กับทุกคนที่มาได้อย่างแท้จริง มากกว่าเน้นปริมาณการขยายแต่คนไปแล้วไม่ประทับใจสุดท้ายก็จะเป็นผลเสียต่อแบรนด์มากกว่า”
ขณะที่ฟีดแบ็คจาก S2O ญี่ปุ่น ในปีที่ผ่านมา วู้ดดี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องของเม็ดเงิน หรือจำนวนคน แต่ด้วยความชื่นชอบและประทับใจของผู้เข้าร่วมงาน และวัดจากการซื้อบัตรซ้ำในวันที่ 2 ของคนที่มาในวันแรก ซึ่งการซื้อบัตรซ้ำอยู่ในระดับที่สูงมาก รวมทั้งการขยายระยะเวลาสัญญาของพาร์ทเนอร์จาก 3 ปี เป็น 5 ปี สะท้อนถึงการได้กรับการยอมรับของ S2O ในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
“ในญี่ปุ่นมีงาน Music Festival ระดับโลกอยู่ 3 งาน ซึ่งอีก 2 งาน ถือเป็นงานระดับโลกจากทางยุโรป และอเมริกา โดยมีเราเป็นงานจากฝั่งเอเชียเพียงงานเดียว และเป็นของคนไทย ทำให้ S2O จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนทั่วโลกมองมาที่ประเทศไทยและยอมรับว่าเราสามารถพัฒนา Entertainment Platform ที่ได้รับการยอมรับ และสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก”
S2O วางเป้าหมายสร้างชื่อในระดับโลก ด้วยการเข้าไปปักหมุดในเมืองสำคัญๆ ระดับโลกได้ทุกทวีปที่มีกำลังซื้อ ซึ่งขณะนี้ถือว่าทำสำเร็จแล้วในระดับเอเชีย ที่ครอบคลุม 3 เมืองสำคัญทั้งในกรุงเทพฯ โตเกียว และไทเป พร้อมเป้าหมายจะทำให้สำเร็จได้ในอเมริกา ยุโรป รวมทั้งในออสเตรเลีย โดยคาดว่าภายในปี 2022 จะสามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้
“การที่เราจะก้าวไปเมืองไหนนั้น จะต้องมองว่าไปแล้วสนุก ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ หรืออาจจะเป็นเหมืองหนาวในช่วงซัมเมอร์ที่อากาศค่อนข้างร้อนจัด หรือในอนาคตอาจจะพัฒนาเป็น Snow ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ เรื่องของพาร์ทเนอร์ที่ต้องมีความเข้าใจและรู้ถึง Essence ของความเป็นไทย ในมิติของความสนุกสนานร่วมกัน เมื่อเข้ามาแล้วจะเป็นการเข้ามาใน S2O World ที่เป็นเหมือนการก้าวเข้ามาอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความสนุกสนาน ความสุข และประสบการณ์ที่ดีกลับไป”
นอกจากยกระดับ S2O เป็น Music Platform ระดับโลกแล้ว ในอนาคตทั้ง วู้ดดี้- ปุลิน มองการขับเคลื่อนของ S2O ในระยะยาวต่อไปจากนี้ คือ การทำให้ S2O กลายเป็นอีกโลกหนึ่ง เพื่อให้สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้มาเยือนได้ และพยายามที่จะทำให้ S2O เป็นมากกว่าแค่ Seasonal Event ที่สามารถเข้าถึงได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เป็นสถานที่ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคนได้ รวมทั้งมองภาพของการเติบโตของตัวเองแบบข้ามช็อตที่ Beyond Music Festival หรือ Music Platform แต่เป็นสถานที่ที่สามารถมอบ Happiness หรือ Best Experience ไม่ต่างจากสิ่งที่ดิสนีย์แลนด์มอบให้กับเด็กๆ ทั่วโลก และสามารถที่จะเข้าถึงได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอที่จะพบกันได้แค่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ซึ่งเป็น Next Step ที่ S2O วาดภาพที่จะก้าวไปในอนาคต