นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ไม่มีใครยอมใครแล้ว ในโลกโทรคมนาคม ศึก 5G ถือเป็นอีกหนึ่งสงครามที่แข่งดุไม่แพักัน ยิ่งในยุคนี้ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต่างต้องควักกระเป๋าลงทุนสร้างเครือข่ายกันถ้วนหน้า ผู้ผลิตรายใดที่มีโซลูชันเหนือกว่า และประหยัดต้นทุนได้มากกว่า ก็อาจคว้าพุงปลาไปกินได้ง่ายกว่าเจ้าอื่น
โดยก่อนหน้านี้ เราอาจได้ยินข่าวคราวความคืบหน้าด้านเทคโนโลยี 5G จากผู้ผลิตในซีกโลกตะวันออกกันมามากแล้ว วันนี้ทางอีริกสัน อีกหนึ่งผู้พัฒนาเครือข่าย 5G จากซีกโลกตะวันตกก็ขอนำเทคโนโลยีและสิทธิบัตรต่าง ๆ ออกมาโชว์บ้างเช่นกัน ในงาน Barcelona Unboxed โดยอีริคสันมองว่า การจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้าน 5G นั้นดูแค่ “จำนวนสิทธิบัตร” อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมองในภาพรวม ว่าใครมีส่วนร่วมในการวางมาตรฐานเครือข่าย รวมถึงใครมีจำนวนลูกค้าที่ทำสัญญาและเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วมากกว่ากัน
คุณนาดีน อัลเลน ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปัจจุบัน อีริคสันมีลูกค้าที่ทำสัญญา และเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วทั้งสิ้น 19 รายทั่วโลก และมีเครือข่าย 5G ที่ติดตั้งและใช้งานจริงแล้ว 8 รายใน 4 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ในส่วนของสิทธิบัตร อีริคสันระบุว่าทางบริษัทมีสิทธิบัตรด้านเครือข่ายโทรคมนาคมมายาวนาน ตั้งแต่ 1G, 2G, 3G, 4G และ 5G รวมแล้ว 49,000 รายการ และคุณนาดีนระบุว่า ทางบริษัทมีส่วนร่วมกับการออกแบบระบบนิเวศน์ 5G ในระดับโลกมาตั้งแต่ปี 2010 ด้วยการเป็นผู้นำเสนอมาตรฐานต่าง ๆ ด้าน 5G กับหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง 3GPP (The 3rd Generation Partnership Project) มากถึง 50,000 รายการ
นอกจากนั้น อีริคสันยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คิดค้นขึ้นมาก่อนหน้า เช่น บลูทูธก็คิดค้นโดยอีริคสัน แต่ไม่ได้ติดสิทธิบัตรและเปิดให้ใช้งานกันได้ทั่วไป ถือเป็น Innovation for Good ก็มีมาแล้ว
เปิดคอนเซ็ปต์อนาคต Radio Stripe
นอกจากนี้ อีริคสันยังนำเทคโนโลยีใหม่ที่เคยไปจัดแสดงในงาน Mobile World Congress 2019 ที่บาร์เซโลนามาโชว์ด้วย โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ “Radio Stripe” อุปกรณ์กระจายสัญญาณโทรคมนาคมแบบใหม่ จากที่เคยเป็นตู้กระจายสัญญาณตัวใหญ่ ๆ เปลี่ยนมาเป็นลักษณะของ Stripe เส้นเล็ก ๆ ที่สามารถนำ antenna ตัวจิ๋วมาติดลงบน Stripe ได้ โดย Ericsson มองว่า นวัตกรรมนี้จะช่วยให้การกระจายสัญญาณมีความทั่วถึงมากขึ้น
โดย Radio Stripe จะเข้ามาแก้ Pain Point จากเดิมถ้าเราอยากได้สัญญาณแรง ๆ ก็ต้องอยู่ใกล้ ๆ อุปกรณ์กระจายสัญญาณ มาตอนนี้ ด้วย Stripe ดังกล่าว เราสามารถติด Stripe ไปได้ทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกำแพง ฝาผนังห้อง หรือแม้แต่ซ่อนไว้ใต้พรม อีกทั้งยังยืดหยุ่นต่อการปรับเปลี่ยนคลื่นความถี่ เพราะแค่เปลี่ยน Antenna เท่านั้นก็ใช้การได้แล้ว
โดยในเบื้องต้น คาดว่า Stripe น่าจะเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ปิดเช่น โรงงานอุตสาหกรรม, สถานีรถไฟฟ้า, สเตเดียม หรือยานพาหนะต่าง ๆ (ดังภาพ) โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ต้นทุนในการประยุกต์ใช้เครือข่ายลดลง อีกทั้งยังติดตั้งได้สะดวกกว่าในอดีต
ผู้บริโภคไทยต้องการใช้ภายในปีหน้า ถ้า 5G ไม่มา ย้ายค่าย!!
นอกจากเทคโนโลยี และเรื่องของสิทธิบัตรแล้ว อีริคสันยังมีการทำสำรวจผู้บริโภคในชื่อ Ericsson Consumer Lab ที่ศึกษาความต้องการของผู้บริโภค 35,000 รายใน 22 ประเทศ ในจำนวนนี้มีผู้บริโภคไทย 1,500 คน ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคไทยต้องการใช้งานเทคโนโลยีเครือข่าย 5G สูงมาก และผู้บริโภคครึ่งหนึ่งมีแผนจะเปลี่ยนผู้ให้บริการเครือข่ายภายใน 6 เดือนนับจากนี้ หากผู้ให้บริการของตนเองยังไม่พัฒนาไปสู่ระบบ 5G
การสำรวจยังพบว่า 40% ของผู้ตอบแบบสอบถาม หวังว่าจะเปลี่ยนไปใช้งาน 5G ได้ภายในปีหน้าด้วย ซึ่งก็ตรงกับที่คุณนาดีน คาดการณ์ว่าเวลาที่เหมาะสมในการปรับใช้ 5G นั้นอาจเป็นช่วงปี 2020 – 2021
อย่างไรก็ดี แม้ความต้องการผู้บริโภคจะพุ่งสูง แต่การปรับไปสู่เครือข่าย 5G ของไทยยังจำเป็นต้องให้เวลาผู้ประกอบการอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแผนแม่บทการจัดสรรคลื่นความถี่ หรือ Spectrum Roadmap ของ กสทช. ที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยแผนแม่บทนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมองเห็นภาพรวมว่าในระยะ 10 – 20 ปีข้างหน้านี้ จะมีคลื่นใดออกมาให้ได้ประมูลไปใช้งานได้บ้าง ผู้ให้บริการเครือข่ายจะได้วางแผนได้อย่างถูกต้องทั้งในด้านการวางเสาสัญญาณ และการเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินนั่นเอง
อีกด้านหนึ่งคือเรื่องของค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ เพราะในขณะที่คนไทยจำนวนหนึ่งบอกว่า ต้องการ 5G นั้น คุณนาดีนเผยว่า ในประเทศที่ประยุกต์ใช้ 5G แล้วพบว่าผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายจากบริการโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นราว 20 – 30% เลยทีเดียว
“5G is not another G”
ความท้าทายประการสุดท้ายอาจเป็นเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะ 5G เป็นเครือข่ายที่แตกต่างจากเครือข่าย 2G – 4G ที่ผ่านมาอย่างมาก ในเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อที่เหนือว่า 4G นับ 100 เท่า แถมมีอัตราความหน่วงที่ต่ำกว่า (Low Latency) และแน่นอนว่ามีต้นทุนที่สูงกว่ามากด้วย ซึ่งในมุมของการใช้งาน 5G ให้เต็มประสิทธิภาพนั้น ไทยอาจจำเป็นต้องศึกษาผลกระทบ และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นให้รอบคอบ รวมถึงมองหา Use Cases ที่ประสบความสำเร็จจากการประยุกต์ใช้ 5G จนทำให้ผู้ประกอบการพร้อมที่จะลงทุนในระดับดังกล่าว
หากจะเปรียบ ก็คงต้องบอกว่า 5G ถือเป็นเครือข่ายที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่แค่ใจพร้อมอย่างเดียวคงไม่พอ แต่กาย และเงินในกระเป๋าทั้งในฝั่งผู้ประกอบการและฝั่งผู้บริโภคก็ต้องพร้อมมาก ๆ ด้วยจึงจะใช้งานได้