ในทุก ๆ ปี การติดตามการประกาศผลรางวัล Cannes Lions International of Creativity อาจเป็นหนึ่งในอีเวนท์สำคัญของคนรักงานครีเอทีฟ และเป็รประจำทุกปีที่ทาง Leo Burnett โดย Mark Tutssel ประธานบริหารของ Leo Burnett Worldwide จะเป็นโต้โผใหญ่รับหน้าที่นี้ และในปีนี้ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มาร์คจะเป็นผู้ที่เก็งรางวัลก่อนที่เขาจะเกษียณในปลายเดือนนี้ นอกเหนือกจากเลือกงานมา 20 ชิ้นที่มีสิทธิ์คว้าสิงโต โทรฟี่อันทรงคุณค่าของวงการโฆษณากลับบ้านแล้ว เขายังได้เผยถึง 4 เทรนด์เด่น ๆ ที่จะมีส่วนสำคัญในวงการโฆษณา 4 เทรนด์สำคัญ และงานเด่นทั้ง 20 ชิ้นมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยยยยยยย
- แบรนด์ยุคใหม่ใจต้องกล้า
ในเรื่องความกล้าของแบรนด์ Mark Tutssel ได้ชวนเรามองย้อนกลับไปในรอบปี ซึ่งเชื่อว่าหลายคนยังคงจำได้กับ Nike ที่ทำแคมเปญ Dream Carzy โดยมีการใช้นักกีฬาดังมากมายรวมถึง Colin Kaepernick ควอเตอร์แบ็กผู้ประท้วงนโยบายของรัฐบาลด้วยการนั่ง “คุกเข่า” เมื่อเพลงชาติดังขึ้นมาเป็นตัวเอก แม้แคมเปญนั้นจะลุกลามกลายเป็นกระแสประท้วงแบรนด์ Nike จนเกิดการเผารองเท้ากันมากมาย แต่ในอีกด้านก็แสดงถึงความตั้งมั่นของแบรนด์ที่จะยืนหยัดสนับสนุนนักกีฬาและสิ่งที่พวกเขาเชื่อ (และยอดขายออนไลน์ของ Nike ก็พุ่งขึ้นถึง 31% ด้วย)
เช่นเดียวกับ Adidas ที่ทำแคมเปญ “Billie Jean King Your Shoes” กับการนำอดีตนักเทนนิสสัญชาติอเมริกันชื่อดัง Billie Jean King ผู้เป็นเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 39 สมัยมาถ่ายทอดแรงบันดาลใจของเธอที่ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงกับเพศชายด้วยการนำรองเท้ากีฬาสารพัดแบรนด์มาพ่นด้วยสีฟ้า ให้เป็นแถบสีสามเส้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเธอเมื่อครั้งโลดแล่นอยู่ในคอร์ทเทนนิส
2. Mixed Reality ยุคนี้ต้องเริ่มแล้ว
Tutssel ยังมองด้วยว่าเทศกาล Cannes Lions ปีนี้ให้คุณค่ากับการที่แบรนด์นำ AR และ VR มาใช้งาน หนึ่งในนั้นคือแคมเปญชื่อ “adDRESS the Future” ของ Carlings ที่เข้าใจอินไซต์ของคนรักการแต่งตัว ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ยอมใส่เสื้อซ้ำเดิมเพื่อถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดียเป็นแน่ แต่ยิ่งช้อป ขยะและสิ่งเหลือใช้จากการผลิตเสื้อผ้าก็ยิ่งล้นโลก Carlings ก็เลยพัฒนาห้องเสื้อดิจิทัลขึ้นมาเสียเอง โดยผู้ใช้งานเพียงถ่ายภาพตัวเองส่งเข้าไปในระบบ จากนั้น ก็เลือกเสื้อผ้าที่ต้องการใส่ ระบบจะจัดเสื้อผ้าให้เข้ากับรูปร่างของเราแล้วส่งกลับมา กลายเป็นภาพเราใส่ชุดล้ำ ๆ และสามารถโพสต์ลงโซเชียลมีเดียอวดคนอื่นได้โดยไม่สร้างขยะเพิ่ม
หรือแคมเปญ “Football Decoded” ของ Microsoft Xbox ที่จับมือกับทีมรีอัล มาดริด แปลผลการเล่นบนสนามจริงของนักเตะเป็นโค้ดในการกดปุ่มบนจอยบังคับของ Xbox แบบเรียลไทม์ เช่น มีการยิงประตูได้ บริเวณป้ายไฟริมสนามก็จะปราฏโค้ดออกมาว่า จะยิงท่านี้ต้องกดปุ่มอะไรบ้าง เป็นต้น
3. ใครไม่ลงมือทำ ตกรอบ
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของการลงมือทำ ลงไปสร้างประโยชน์ให้เกิดกับชีวิตของผู้คนจริง ๆ อย่าแค่นำเสนอโฆษณาอย่างเดียว ตัวอย่างของแบรนด์ในกลุ่มนี้เช่น Burger Kings กับแคมเปญ Whopper Detour ที่ให้ส่วนลดกับใครก็ตามที่ไปกดสั่งซื้อ Whopper ใกล้ ๆ กับร้าน McDonald’s ซึ่งผลของแคมเปญดังกล่าวทำให้ยอดดาวน์โหลดแอปของ Burger King เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านครั้งภายใน 9 วัน และช่วยให้ทราฟฟิกในร้านช่วงที่จัดแคมเปญสูงเป็นประวัติการณ์
หรือ Ikea กับแคมเปญ “Museum of Romanticism” ที่ Ikea ต้องการจะบอกว่าเฟอร์นิเจอร์ของตนเองนั้นเหมาะที่จะวางในทุก ๆ ห้องแม้กระทั่งสถานที่จัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ โดยงานนี้ Ikea เล่นใหญ่กับการนำเฟอร์นิเจอร์เข้าไปติดตั้งตามจุดต่าง ๆ ของพิพิธภัณฑ์ และท้าทายให้ผู้คนเข้าไปเดินหาว่ามันอยู่ตรงไหนกันบ้าง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่ามันง่ายกับการแยกแยะเฟอร์นิเจอร์ในศตวรรษที่ 18 ออกจากสินค้าของ Ikea แต่ปรากฏว่า เอาเข้าจริง มันมีทั้งคนที่สังเกตเห็นและแยกไม่ออก เลยทำให้เกิดการเข้าไปเสิร์ชหา และเกิด Engagement บนโซเชียลมีเดีย และสื่อต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กลายเป็นความสำเร็จที่ต้องยกนิ้วให้ในความคิดสร้างสรรค์
4. Data คือเทรนด์ที่ห้ามเมิน
เราอยู่ในยุคที่ Data คือหลักฐานสำคัญ และหากใครไม่ใช้ หรือใช้ไม่เป็น ก็อาจไปต่อไม่ได้ไกลนัก หนึ่งในแบรนด์ที่ใช้ Data ได้ดีในมุมของ Tutssel คือ Pernod Ricard แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากแดนน้ำหอม ที่นำเสนอเรื่องราวของ Data ผ่านแคมเปญ The Time We Have Left ด้วยการเชิญคนสองคนที่บอกว่าตนเองรักใครสนิทสนมกันบนความสัมพันธ์แบบต่าง ๆ มา และสุดท้ายมีการคำนวณโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อระบุว่า แท้จริงแล้วพวกเขานั้นใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าไร นัยว่าเพื่อต้องการสะท้อนว่า จริง ๆ แล้ว เราใช้เวลาไปกับสิ่งอื่นที่ไม่สำคัญมากกว่าหรือเปล่า
นอกจากนี้ Mark Tutssel ยังเลือกผลงานมาอีก 20 ชิ้น ที่น่าจะโดนใจกรรมการ ประกอบด้วย
1.Nike “Just Do It ‘Dream Crazy'” // Wieden + Kennedy (Portland, USA)
https://www.youtube.com/watch?v=Fq2CvmgoO7I&feature=youtu.be
2.Pernod Ricard – Ruavieja “The Time We Have Left” // Leo Burnett (Madrid, Spain)
3.John Lewis & Partners “The Boy and the Piano” // Adam&eveDDB (London, UK)
https://www.youtube.com/watch?v=mNbSgMEZ_Tw&feature=youtu.be
4.Chicken Ramen “Akuma No Kimura” // Dentsu Inc. (Tokyo, Japan)
5. Mars Wrigley Confectionary – Skittles “Broadway the Rainbow” // DDB (Chicago, USA)
6.Amazon Prime “Great Shows Stay With You” // Droga5 (London, UK)
7.Centre Pompidou “Souvenirs de Paris“ // Marcel (Paris, France)
8.Burger King “Whopper Detour” // FCB (New York, USA)
https://www.youtube.com/watch?v=D6uuEQmn5vQ
9.Essity “Viva La Vulva” // AMV BBDO (London, UK)
10.The New York Public Library “Insta Novels” // Mother (New York, USA)
11.HBO “Westworld: The Maze” // 360i (New York, USA)
12.Kraft Heinz – Country Time Lemonade “Legal-Ade” // Leo Burnett (Chicago, USA)
13.Adidas “Billie Jean King Your Shoes” // TBWA\Chiat\Day (New York, USA)
14.Shiseido “My Crayon Project” // R/GA (Tokyo, Japan)
15.IKEA “Museum of Romanticism” // McCann (Madrid, Spain)
16.Microsoft Xbox “Football Decoded” // McCann (London, UK)
17.FELGTB “The Hidden Flag” // LOLA MullenLowe (Madrid, Spain)
18.The New York Times “The Truth Is Worth It” // Droga5 (New York, USA)
https://www.youtube.com/watch?v=PZJdKuTRN5E
19.Carlings “adDRESS the Future” // VIRTUE (Copenhagen, Denmark)
20.Netflix “Narcos The Censor’s Cut” // J. Walter Thompson (Bangkok, Thailand)
https://www.facebook.com/NetflixTH/videos/1169951883155810/
และทั้งหมดนี้ ก็คือเทรนด์มาแรงของวงการโฆษณา ที่นำเสนอผ่านตัวอย่างเด็ด ๆ ของผู้เข้ารอบสุดท้ายในการประกาศผลรางวัล Cannes Lions ปีนี้ รวมถึงอาจเป็นเทรนด์ที่ชวนให้คนในแวดวงโฆษณาต้องหันกลับมาทบทวนกันด้วยว่า เราให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างถูกจุดหรือไม่ หรือยังมีอะไรที่เราต้องหามาเติมเต็ม