แม้เราจะคุ้นเคยกับเจ้าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญกันมาเป็นสิบปีแล้ว โดยเฉพาะตามหอพัก ตามคอนโดฯ ที่มักจะมีตั้งเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้พักอาศัย แต่ปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจ “ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง” หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินในชื่อ “ร้านสะดวกซัก” กลายมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับความสนใจและเติบโตเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของแบรนด์ใหญ่ๆ ที่เริ่มกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ด้วยเช่นกัน
ส่องปัจจัยดันธุรกิจเติบโตได้สูง
ขณะที่การเติบโตอย่างร้อนแรงของธุรกิจนี้ มีแรงขับเคลื่อนมาจากสองฟาก ทั้งจากผู้บริโภคเอง โดยเฉพาะการขยายตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทั้งในแง่ของการไม่ต้องมานั่งซัก หรือตากผ้าเอง ทำให้มีเวลาเหลือเพื่อไปทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ความประหยัดที่ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องซักผ้าราคาหลักหมื่น โดยเฉพาะเวลาเสียแล้วหาอะไหล่เปลี่ยนได้ยาก และมีราคาแพงไม่ต่างจากการซื้อเครื่องใหม่ การมีบริการเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลหรือไม่เป็นภาระในกรณีที่เครื่องอาจจะมีปัญหาหรือต้องซ่อมบำรุง รวมไปถึงข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่อยู่อาศัยของคนในปัจจุบันที่มักจะอยู่ตามคอนโดหรืออะพาร์ทเมนต์ ขณะที่เครื่องซักผ้าเองมักจะมีขนาดที่ค่อนข้างกินพื้นที่อยู่พอสมควร ประกอบกับการเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถเลือกเวลาที่ต้องการมาซักผ้าได้ตามสะดวก
ขณะที่อีกมุมหนึ่งจะเติบโตมาจากความต้องการมีอาชีพเสริมเพิ่มเติม เพื่อหารายได้เพิ่มจากงานประจำ หรือจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่เพิ่มมากขึ้น ส่วนการที่ธุรกิจร้านสะดวกซักเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจมาจากหลายๆ เหตุผล อาทิ
1. ยังถือเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาในไทยราวๆ 3-5 ปีเท่านั้น ทำให้ธุรกิจยังเติบโตได้สูงเป็นเท่าตัวในแต่ละปี ผู้แข่งขันในตลาดยังมีไม่มาก แม้จะเริ่มเห็นรายใหญ่ๆ สนใจและประกาศตัวที่จะเข้ามาแบ่งแชร์ในตลาด แต่ก็ยังมีโอกาสในตลาดได้สูง โดยร้านประเภทนี้ทั่วประเทศมีจำนวนรวมๆ ประมาณ 300 สาขา และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นในสิ้นปีนี้ได้เท่าตัวเป็น 500-600 สาขา และแนวโน้มทิศทางธุรกิจที่ยังขยายตัวต่อไปได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปีเป็นอย่างน้อย
2. จากแนวโน้มที่คนรุ่นใหม่อยากทำธุรกิจของตัวเอง หรือกลุ่มที่เริ่มมองหาโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้นจาก Second Job ทั้งคนที่ทำงานประจำหรือมีธุรกิจอื่นอยู่แล้ว ขณะที่รูปแบบของธุรกิจร้านสะดวกซักมีจุดเด่นที่เงินลงุทนไม่สูงมากนัก และมีหลายขนาดธุรกิจให้เลือก ปรับได้ตามโลเคชันและพื้นที่ที่มี โดยเฉพาะ Operation Cost ที่ต่ำและไม่ยุ่งยาก เพราะไม่ต้องใช้แรงงานมากเหมือนธุรกิจบริการอื่นๆ รวมทั้งบริหารจัดการได้ง่ายกว่า
3. เป็นหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่น่าสนใจ เนื่องจาก โอกาสได้ทุนคืนสูงและไม่นาน หรือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการสร้าง Passive Income ที่น่าสนใจ ด้วยระยะเวลาในการคืนทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 ปี ตามโลเคชันและพื้นที่ในการเปิดร้านหรือนำเครื่องไปตั้ง รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและการเข้าถึงได้ง่าย
4. นอกจากเป็นพื้นที่สำหรับให้บริการซักและอบผ้าในราคาไม่แพงแล้ว การออกแบบเป็นร้านที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีที่สำหรับนั่งรอ มีพัดลม มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต หรือบางแห่งมีมุมกาแฟบริการด้วย ทำให้ธุรกิจนี้กลายเป็นอีกหนึ่ง Third Place ที่คนรุ่นใหม่เลือกจะเข้าไปใช้เวลาเพิ่มมากขึ้น เพราะร้านเหล่านี้มักจะเลือกอยู่ในทำเลที่เป็นแหล่งชุมชนเป็นหลัก
5. ความสะดวก ประหยัดเวลา และประสบการณ์ใหม่ในการซักผ้า ที่สอดคล้องกับไลฟสไตล์คนในปัจจุบันที่มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบหรือทำในแต่ละวันค่อนข้างมาก การซักผ้าแบบเดิมๆ จะใช้เวลาค่อนข้างนานเกือบชั่วโมง รวมทั้งผ้าที่ได้ยังต้องนำไปตากเพิ่มเพื่อให้แห้งสนิท ขณะที่การนำผ้ามาซักที่ร้านเหล่านี้ใช้เวลาไม่ต่างกัน แต่ได้ผ้าที่แห้งสนิท นำไปพับเก็บเข้าตู้ หรือรีดเพื่อพร้อมใช้งานได้เลย
6. เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญในร้านเหล่านี้ ยังเข้ามาแก้ Pain point จากการใช้เครื่องซักผ้าแบบเดิมๆ โดยเฉพาะการซักไม่สะอาด ใช้เวลาในการซักนาน ไม่มีเครื่องอบผ้าให้แห้งสนิท เนื่องจากเครื่องหยอดเหรียญก่อนหน้านี้จะมีขนาดและประสิทธิภาพไม่ต่างจากเครื่องที่ใช้ตามบ้านทั่วไป แต่เครื่องที่ใช้ในธุรกิจนี้จะเป็นการนำเครื่องในระดับอุตสาหกรรมมาใช้ ทำให้ซักได้สะอาดกว่า ใช้เวลาในการซักไม่นาน และยังมีเครื่องอบผ้าที่ทำให้ผ้าแห้งสนิทโดยไม่ต้องนำไปตากซ้ำ รวมทั้งจุดในการนำเครื่องซักผ้าแบบเดิมๆ ไปตั้ง ที่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในมุมหรือซอกที่ลับตาคน และไม่สะดวกในการนำผ้าไปซักหรือไปนั่งรอ ต่างจากการเข้าไปใช้บริการในร้านสะดวกซักเหล่านี้
Otteri ปั้นแบรนด์จนเป็นเจ้าตลาด
Otteri หรือ ออทเทริ แบรนด์ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซักของไทย ที่แม้ไม่ได้เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เป็นคนแรก แต่ก็เป็นรายแรกที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ และการทำตลาด จนปัจจุบันมีสาขากระจายไปทั่วประเทศมากที่สุดแล้ว ด้วยจำนวนสาขา 155 แห่ง ทั้งการลงทุนด้วยตัวเอง 25 สาขา และในรูปแบบแฟรนไชส์อีก 130 สาขา จึงนับเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เข้ามาบุกเบิกให้ตลาดนี้เป็นที่รู้จักและมีการขยายตัวในระดับแมสมากยิ่งขึ้น
สำหรับออทเทริ เริ่มทำตลาดมาได้ราว 3 ปี นับจากเข้ามาในธุรกิจเมื่อปี 2559 แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้นำในตลาด แซงหน้าแบรนด์คลีนโปร เอ็กซ์เพรส จากมาเลเซีย ซึ่งเป็นแบรนด์แรก ที่เริ่มเข้ามาทำตลาดอยู่ก่อนหน้าแล้วกว่า 2 ปี แต่ยังไม่ได้มีการทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เน้นการขยายสาขาเป็นหลัก โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คลีนโปรฯ มีจำนวนสาขาในปัจจุบันอยู่กว่า 50 แห่ง
คุณกวิน นิทัศนจารุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก “otteri wash & dry” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้ามาในธุรกิจร้านสะดวกซักของ otteri ว่า ก่อนหน้านั้นบริษัททำธุรกิจขายเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมให้ธุรกิจต่างๆ ในรูปแบบ B2B แต่ด้วยความที่ตลาดที่ค่อนข้างเต็ม และการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะบรรดาแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ลงมาทำตลาดด้วยตัวเอง และมีความสามารถในการแข่งขันและการต่อรองที่ดีกว่า ทั้งจากการเป็นเจ้าของแบรนด์เอง และขนาดของธุรกิจ ทำให้ต้องเริ่มหันมาหาน่านน้ำใหม่ในการเติบโต
ประกอบกับมองเห็นทั้งโอกาสและ Pain point ในตลาดเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่เครื่องคอมเมอร์เชียลส่วนใหญ่ยังไม่มีการนำเครื่องอุตสาหกรรมเข้ามาใช้ ขณะที่ตลาดเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีเพียงคลีนโปรฯ จากมาเลเซีย เท่านั้นที่เพิ่งเริ่มทำตลาด สเกลยังไม่ใหญ่มาก จึงตัดสินใจขยับธุรกิจเข้ามาบุกเบิกตลาดร้านสะดวกซักที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง
“ออทเทริ เข้ามาพร้อมกับการให้ความสำคัญกับเรื่องของแบรนดิ้งและการทำตลาด โดยเลือกใช้คาแร็คเตอร์ที่มีความน่ารัก และยังไม่เคยมีใครนำมาใช้อย่าง ตัวนาก ด้วยความน่ารัก บุคลิก ขี้เล่น ซุกซน เป็นมิตร และอยู่กับน้ำ ตรงกับธุรกิจซักผ้าที่ต้องใช้น้ำ จึงตัดสินใจเลือกใช้คาแร็กเตอร์นี้ พร้อมสร้างแบรนด์ที่ตั้งใจให้มีสไตล์เป็นญี่ปุ่น ทั้งความน่ารัก และความเชื่อมั่นในเรื่องของการใส่ใจคุณภาพของชาวญี่ปุ่น ด้วยการแปลงจากศัพท์ออทเทอร์ (Otter) ที่แปลว่าตัวนาก มาใส่ความเป็นญี่ปุ่น จนกลายมาเป็น Otteri และนำคาแร็กเตอร์มาใช้ในการสื่อสารให้เกิด Brand Awareness ในวงกว้าง และเน้นในมิติที่เป็น Emotional ที่ทำให้การซักผ้าเป็นเรื่องสนุก ประกอบกับโอกาสและข้อได้เปรียบต่างๆ ของธุรกิจร้านสะดวกซัก ทำให้ธุรกิจเป็นที่สนใจและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีคนสนใจเข้ามาลงทุนจำนวนมาก รวมทั้งเริ่มมีแบรนด์ใหญ่ๆ ขยายธุรกิจเข้ามาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง”
จุดเด่นธุรกิจ otteri มาจากการเข้าใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศในระหว่างที่ต้องรอซักผ้าให้เสร็จ ไม่รู้สึกน่าเบื่อ ในฐานะของ Space Provider ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทั้งที่นั่งรอ ร้านกาแฟ อินเตอร์เน็ต และสามารถมาซักได้บ่อยๆ รวมทั้งราคาเริ่มต้นเพียง 40 บาท ที่เข้าถึงได้และคุ้มค่ามากกว่าการซักผ้าด้วยเครื่องหยอดเหรียญแบบเดิมๆ พร้อมทั้งโปรโมชั่นซักฟรีช่วงเปิดร้านใหม่ และลดครึ่งราคาสำหรับการซักหลังเที่ยงคืน ที่จะลดราคาเหลือเพียง 20 บาท รวมทั้งมีบริการเครื่องอบแบบหยอดเหรียญที่ยังไม่มีใครมีมาก่อน ในราคา 40 บาทเช่นเดียวกัน แลกกับความสะดวกและเวลาที่ได้เพิ่มมามากขึ้น ทำให้ธุรกิจได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีคนสนใจเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก
สำหรับรูปแบบในการลงทุน otteri ก็เพิ่มทางเลือกตามความสามารถของผู้ลงทุนและพื้นที่ที่มี ทั้งไซส์ M ที่ใช้งบราว 2.3 ล้านบาท ด้วยจำนวนเครื่องซัก 5 เครื่อง เครื่องอบ 4 เครื่อง สำหรับพื้นที่ราว 40-50 ตารางเมตร หรือไซส์ L ด้วยงบ 2.9 ล้านบาท สำหรับเครื่องซัก 7 เครื่อง เครื่องอบ 6 เครื่อง บนพื้นที่ 70-90 ตารางเมตร รวมทั้งการลงทุนแบบ Customize ที่จะมีการดีไซน์และออกแบบร้านให้ตอบโจทย์พื้นที่และโลเคชัน โดยสามารถเลือกแพกเกจลงทุน M ก่อน เพื่อรอดูการตอบรับ แล้วค่อยปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตได้เช่นเดียวกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเติบโตของ otteri เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดขยายตัว และคนเริ่มหันมาสนใจธุรกิจนี้มากขึ้น รวมทั้งเริ่มกระจายไปในต่างจังหวัด โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ หรือตามหอพักนักศึกษา หรือตามพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมทั้งตามแหล่งชุมชนต่างๆ โดยวางการเติบโตของธุรกิจเพิ่มเป็น 300 สาขาในสิ้นปีนี้ และสามารถขยายได้ครบ 1,000 สาขาภายใน 5 ปี โดยจะเป็นการลงทุนของทางบริษัทเองราว 10%
“ความสำเร็จของ Otteri นอกจากความน่าสนใจของธุรกิจแล้ว ยังมาจากความแข็งแรงในเรื่องของการให้บริการหลังการขายสำหรับผู้ลงทุน โดยจะมีทีมช่างเข้าไปดูแลเครื่องให้ทุก 2 เดือน รวมทั้งการพัฒนาโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาแฟลกชิพ ที่จะมีเซอร์วิสให้ผู้มาใช้บริการได้ครบถ้วนขึ้น และเพิ่มแนวทางในการสร้างรายได้ให้ผู้ลงทุนมากขึ้น รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และสื่อสารการตลาดเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีคนเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”
มารุ ลอนดรี้ รายใหญ่ไต้หวันบุกไทย
การเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซัก 24 ชั่วโมง ทำให้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวจากแบรนด์ใหญ่ๆ สนใจเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น เช่น การเข้ามาของแฟรนไชส์รายใหม่ในตลาดอย่าง “มารุ ลอนดรี้” ภายใต้การบริหารของสองยักษ์ใหญ่ในตลาดไทย และไต้หวัน อย่าง บริษัท กันยง จำกัด ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมากกว่า 50 ปี และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำอย่าง “อัพยัง” ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจการบริหารร้านซักผ้าหยอดเหรียญมากว่า 40 ปี ทั้งในญี่ปุ่น และไต้หวัน
สำหรับ มารุ ลอนดรี้ เป็นแบรนด์ใหม่ที่จะมาทำตลาดในประเทศไทย ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า กันยงอัพยัง จำกัด เพื่อทำธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบครบวงจร ที่สามารถทั้งซักและอบแห้งได้ในโปรแกรมเดียว ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยมาตรฐานเครื่องด้วยแบรนด์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่นอย่าง AQUA พร้อมฟังก์ชั่นการซักแบบถนอมผ้า และมีโปรแกรมล้างถังซักก่อนทุกครั้งเพื่อสุขอนามัย รวมทั้งอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 15 ปี พร้อมระบบในการตรวจสอบและมอนิเตอร์ก๊าซเพื่อป้องกันก๊าซรั่ว และระบบ IOT เพื่อให้เจ้าของแฟรนไชส์สามารถดูแลธุรกิจได้ตลอดเวลาจากระยะไกล
คุณปวริศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด ให้ข้อมูลว่า ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนไทย ทำให้ธุรกิจร้านซักผ้าหยอดเหรียญเติบโต ขณะที่ มารุ ลอนดรี้ จะเข้ามาจับตลาดพรีเมียม กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ที่อยู่ตามคอนโด ตามแนวรถไฟฟ้าที่มีกำลังซื้อ โดยราคาการซักต่อครั้งอยู่ที่ราวๆ 200 บาท แต่คุ้มค้ากว่าเพราะซักและอบแห้งในขั้นตอนเดียว รวมทั้งฟังก์ชั่นที่เหนือกว่าเครื่องซักผ้าทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในตลาดซักผ้าหยอดเหรียญที่จับตลาดพรีเมียม ยังไม่มีใครเข้ามาทำตลาด ทำให้ยังเป็น Blue Ocean ขณะที่ในตลาดแมสเริ่มมีผู้เล่นเข้ามามาก และจะกลายเป็น Red Ocean ที่ตลาดจะแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้นในอนาคต จากปัจจุบันมีแบรนด์อยู่ในตลาดแล้วกว่า 5-7 ราย ทั้งแบรนด์คนไทยและจากต่างประเทศ โดยเชื่อว่าตลาดยังรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ โดยสามารถขยายธุรกิจเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 400-500 สาขาในแต่ละปี
“การขยายธุรกิจของมารุ ลอนดรี้ จะมาทั้งจากฟากของแฟรนไชส์ ด้วยพื้นที่ร้านเริ่มต้นตั้งแต่ 50 -300 ตารางเมตร และสามารถตั้งเครื่องซักผ้าได้ 6-20 เครื่อง โดยตั้งเป้าหมายในปีแรกนี้จะขยายได้ประมาณ 5-10 สาขา ก่อนจะเริ่มขยายไปสู่หัวเมืองใหญ่เพิ่มเติมในปีหน้า ด้วยจำนวนสาขาเพิ่มเป็น 20-50 สาขา โดยตลาดประเทศไทย ยังมีศักยภาพที่ค่อนข้างสูง เพราะยังเป็นตลาดใหม่อยู่ โดยการเติบโตของแฟรนไชส์ในธุรกิจนี้ จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการ Educated ตลาดให้ผู้บริโภคคุ้นเคย ทำให้มีพาร์ทเนอร์ตอบรับเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน ที่ได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากไว้ในธนาคารเฉยๆ”
จากการประเมินของแบรนด์ในธุรกิจนี้ คาดว่า การเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมงนี้ นอกจากจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ สนใจและขยายธุรกิจเข้ามา อย่างที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น LG, Haier (ไฮเออร์ เปิด Smart Plus ร้านสะดวกซัก 24 ชม.) รวมทั้งความพยายามที่บางธุรกิจที่จะเข้ามาแชร์ในตลาดนี้มากขึ้น อย่างเจ้าตลาดร้านสะดวกซื้อ ที่เคยทดลองให้บริการนี้ด้วยเช่นกัน หรือการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ ทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่เชื่อว่าจะยังเห็นแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งในรูปแบบแบรนด์หรือนอนแบรนด์
รวมทั้งหากธุรกิจเข้าถึงได้ง่ายและกระจายตัวมากขึ้น จะสามารถเข้าไปทดแทนเครื่องโฮมยูสที่อยู่ในแต่ละบ้าน ทำให้การซื้อเครื่องซักผ้าของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนที่อยู่ตามคอนโด หรืออะพาร์ทเมนต์ลดลง รวมไปถึงธุรกิจ Traditional Laundry หรือ ร้านซัก อบ รีด แบบเดิมๆ ที่แม้จะไม่ได้ถูกทดแทนจนหายไป แต่อาจจะเริ่มไม่เห็นการเติบโต และมีเพียงรายเดิมๆ ในธุรกิจ และส่วนใหญ่จะให้บริการที่เป็นการรักษา Connection เดิมไว้ รวมทั้งจะเป็นตลาดระดับในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่ต้องการบริการในรูปแบบ Fully Service เป็นหลักนั่นเอง
Photo Credit : Otteri WASH & DRY