วิธีการหนึ่งที่จะสร้างศิลปินโด่งดังสร้างชื่อในระยะยาวได้ ก็คือการสร้างฐานแฟนคลับที่มีทั้งมิติของฐานแฟนในวงกว้าง(แมส) และฐานแฟนในเชิงลึกที่พร้อมเปย์ ทุ่มไม่อั้น เช่นเดียวกับบริษัทเอเนตอร์เทนเมนต์ ซึ่งถ้าหากจะสร้างความแข็งแกร่งด้านธุรกิจ ในวันนี้จะยึดโยงอยู่ที่ “สื่อ” แบบเดิมอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป นี่จึงเป็นที่มาของ “บิ๊กดีล” ความร่วมมือที่จะพา Zense Entertainment ที่สร้างฐานความแข็งแรงให้ธุรกิจในฐานะ Content Provider มาเกือบสิบปี กับ “ลิซ่า -ลลิษา มโนบาล” หรือ “LISA BLACKPINK” ให้มาเจอกัน แล้วจูงมือกันไปสู่ตลาดแมส
ในส่วนของ Zense Entertainment ก็เพื่อสร้างโมเดลในการเพิ่มรายได้ด้วยการใช้ความแข็งแรงของสื่อที่มีอยู่ในมือ หวังทดแทนรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาที่ส่งสัญญาณการเติบโตที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าสู่ภาวะทรงตัว จนทำให้การเติบโตในปีก่อนหน้า อยู่ที่ราว 2-3% เท่านั้น ส่วน “ลิซ่า” ซึ่งมีชื่อเสียงในกลุ่มแฟนคลับกระเป๋าหนักอยู่แล้ว แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่สินค้าที่ “ลิซ่า” จะเข้าไปอยู่ใน 7-Eleven ด้วยราคาหลักร้อย เพราะก่อนหน้านี้ สินค้าที่ใช้บริการลิซ่าจะเป็นสินค้ากลุ่มไอที โทรศัพท์มือถือซัมซุง ทั้ง S10 และ A80 รวมทั้งเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเอไอเอส ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย BLINK ได้อยู่กับ AIS ไปนานๆ ก็ต้องใช้บริการทะลุหลักร้อย-พันแน่นอน
เราลองมาไล่เรียงกันว่า ดีลความร่วมมือ จะส่งผลดีกับ Zense Entertainment และ YG Entertainment ต้นสังกัดของ BlackPink อย่างไรบ้าง…
ตลาดแมส น่านน้ำเติบโตใหม่
ปีที่ผ่านมา Zense Entertainment จึงเริ่มนำร่อง New Business ด้วยการเข้าสู่ธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง อาทิ Kitchenex (คิทเช่นเน็กซ์) ในกลุ่มเครื่องครัว และ Dr Myer’s (ด็อกเตอร์มายเออร์) ในกลุ่มสกินเคร์และดูแลผิวหน้า ซึ่งผลตอบรับที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างที่คาดด้วยการกลับมาเติบโตได้มากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการโมเดลการต่อยอดจาก Own Media ที่แข็งแรง นอกจากช่วยคนอื่นขายของได้ ก็สามารถปั้นสินค้าตัวเองมาขายในช่องทางนี้ได้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยังได้ช่วยลดต้นทุนสำคัญในการทำตลาดจากค่า Media ไปได้ราว 10-20% ทำให้ไม่ต้องแบกต้นทุนหนักเหมือนคนที่มีแต่โปรดักท์เพียงอย่างเดียว
ขณะที่ Zense ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งเท่านั้น เพราะความเคลื่อนไหวล่าสุด เริ่มขยับมาแข่งในตลาดที่ใหญ่ขึ้นอย่างตลาด Retail ร่วมกับพันธิมตรอย่างมาลาคี ผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางและโฮมช้อปปิ้งมากว่า 20 ปี เพื่อจัดตั้ง บริษัท เวลโค จำกัด ด้วยรูปแบบการร่มทุนแบบ JV ในสัดส่วนระหว่างเซ้นส์และมาลาคีที่ 50:50 เพื่อเป็นตัวแทนในการนำเข้าและทำตลาดเครื่องสำอางมูนช็อต (moonshot) ในประเทศไทย และสิทธิ์อื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต รวมทั้งแบรนด์ใหม่และโปรดักท์ในกลุ่มอื่นๆ ที่จะเพิ่มเติมตามมาด้วย
คุณเอ วราวุธ เจนธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ธุรกิจรีเทลมีขนาดที่ใหญ่มาก หากเซ้นส์สร้างความแข็งแรงในตลาดนี้ได้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและขยับไปสู่ความเป็นแมสมากขึ้น โดยเลือกนำร่องด้วยธุรกิจเครื่องสำอาง ก่อนจะมีกลุ่มสินค้า FMCG อื่นๆ ตามมา
สำหรับการขยับมาในตลาด Retail ของเซ้นส์ เรียกได้ว่า เริ่มต้นก็แมสได้แล้ว เพราะการคว้าศิลปินไทย ที่ดังไกลระดับอินเตอร์อย่าง “ลิซ่า -ลลิษา มโนบาล” หรือ “LISA BLACKPINK” ในการมาเป็นพรีเซ็นเตอร์และ Brand Ambassadors ให้กับมูนช็อตประเทศไทย เนื่องจากทางศิลปิน BLACKPINK ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ moonshot ในการทำตลาดระดับอินเตอร์อยู่แล้ว
ประกอบกับแบรนด์ moonshot นี้ เป็นแบรนด์เครื่องสำอางในเครือของ YG Entertainment ที่เป็นต้นสังกัดของลิซ่า และมีการทำตลาดอยู่แล้วในหลายประเทศ ซึ่งการนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ ทางเซ้นส์วาง Positioning สินค้าให้กลุ่ม Mass สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการออก Special Edition ภายใต้คอลเล็กชั่นที่เรียกว่า “LISA PICK” เริ่มต้นด้วย 6 SKU ที่ลิซ่าตั้งใจในการคัดเลือก 6 สินค้าที่ตอบโจทย์คนไทย ทั้งลิปสติก 3 เฉดสี แป้งตลับ 2 เฉดสี และ CC Cream รวมทั้งการทำตลาดอย่างจริงจังในการสร้างการรับรู้ในวงกว้างผ่าน TVC จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี
ปีที่ผ่านมา moonshot ยังสร้างปรากฏการณ์สำหรับแฟนคลับลิซ่า กับงานแฟนมีตครั้งแรกของลิซ่า ในชื่อ Moonshot x Lisa 1st Fan sign in Bangkok ที่นอกจากจะเห็นการแย่งตำแหน่ง Top Spendors เพื่อให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดลิซ่า แบล็คพิงค์ งานครั้งนั้นยังสร้างกระแสให้เป็นที่สนใจได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากปรากฏชื่อของ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เป็นหนึ่งในชื่อคนที่ประกาศตัวเป็นแฟนคลับลิซ่า พร้อมการขับเคี่ยวกับแฟนคลับจากตระกูลดังอย่าง “ล่ำซำ” ทำให้แบรนด์ moonshot กลายเป็นทึ่รู้จักจาก Earn Media ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น และเริ่มสร้างฐานลูกค้าในประเทศไทยได้บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการสนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบ
Powerful ทั้งคนช่วยขายและช่องทางขาย
ความดังและแมสของลิซ่า สะท้อนผ่านหลายแบรนด์สินค้าของไทยที่ใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่ในขณะนี้เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้ทับซ้อนกับกลุ่มเครื่องสำอาง โดยสินค้าที่ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่ในชณะนี้ล้วนแต่เป็นแบรนด์ชั้นนำที่มีภาพลักษณ์ที่ดี การเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี ลิซ่า แบล็คพิงค์ เป็น Endorser ก็เป็นหนึ่งในแต้มต่อให้กับ moonshot ประกอบกับการตั้งราคาสินค้าที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ แม้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์จะเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ และขายในราคาหลักพัน แต่ Zense ได้ออกเป็นคอลเล็กชั่นในราคาเริ่มต้นที่หลักร้อย ทำให้เข้าถึงกลุ่มแมสได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันยังเป็นการขยายฐานแฟนคลับของลิซ่าให้มายังกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
“มูนช็อตในประเทศไทยเหมือนกับการนำสินค้าเค้าน์เตอร์แบรนด์มาทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น มาทำให้เป็นแมสมากขึ้น เพราะเป็นการอิมพอร์ตสินค้า Made in Korea มาขายในราคาย่อมเยา ตั้งแต่ 139 -189 บาทเท่านั้น เนื่องจากเป็นคอลเล็กชั่นพิเศษที่จะมีขายเฉพาะในประเทศไทย และเลือกวางขายในเซเว่นอีเลฟเว่นจำนวน 7,900 สาขาเท่านั้น โดยได้ลิซ่า แบล็คพิงก์ ที่มีคนรู้จักในวงกว้างมากกว่าแค่ในไทย แต่มีฐานแฟนคลับกระจายไปทั่วทั้งโลก เป็นคนคัดสรรและเลือกมาให้กับคนไทยโดยเฉพาะ”
ความมั่นใจในขาธุรกิจรีเทลของเซ้นส์ ที่นอกจากการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ Powerful อย่างลิซ่า ที่ถือเป็น K-POP IDOL คนไทยคนแรกของค่าย YG และขึ้นแท่นอันดับ 1 คนดังฝ่ายหญิงในวงการบันเทิงเกาหลีใต้ ที่มีผู้ติดตามผ่าน IG ส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า lalalalisa_m มากที่สุดถึงกว่า 21.7 ล้านคน ทั้งที่เพิ่งเริ่มใช้ IG ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น (ลิซ่าเริ่มใช้ IG ครั้งแรกในวันที่ 15 มิถุนายน 2561) รวมทั้งยังสร้าปรากฏการณ์ในการขายตั๋วคอนเสิร์ต 2019 World Tour BLACKPINK in Your Area Bangkok : Encore ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย ในวันที่ 12-14 ก.ค.นี้ โดยสามารถจำหน่ายบัตรได้หมดในเวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่ YG Entertainment ในเกาหลีกำลังระส่ำหนักแบบนี้ การบุกตลาดเอเชียในประเทศอื่นๆ ด้วยเกิร์ลกรุ๊ปที่กำลังมาแรง ก็ช่วยประคับประคองทั้งรายได้ และภาพลักษณ์ของค่าย YG ให้ยังอยู่ในใจของแฟนๆ ได้ เพราะการเปิดตัวสินค้า นั่นหมายถึงการใช้มีเดีย เพื่อช่วยโปรโมทโปรดักท์ นั่นก็ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นศิลปินไปด้วยในตัว
“เสน่ห์ของลิซ่า คือ ความเป็นตัวของตัวเอง รวมทั้งเป็นคนที่มีความสามารถและทำงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ และทุ่มเทในงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะส่วนผสมที่ลงตัวทั้งการเป็นคนที่มีความสามารถ และรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้ เลยทำให้ลิซ่ามีความโดดเด่นขึ้นมา มากกว่าแค่ความน่ารักและทรงผมหน้าม้าที่หลายๆ คนติดใจ”
นอกจากได้คนช่วยขายที่แข็งแรงแล้ว ในแง่ของช่องทางขายของ moonshot เอง ก็ต้องถือว่า Powerful ไม่แพ้กัน เพราะได้เป็น Exclusive Partner กับทางเซเว่น อีเลฟเว่น ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในช่องทางขายที่แมสมากที่สุดของประเทศก็ว่าได้ โดย Specail Edition LISA PICK จำนวน 6 SKU ในครั้งนี้ จะวางขายผ่านร้านเซเว่นฯ เกือบ 8 พันสาขา ที่มีพื้นที่มากพอที่จะสามารถจัดเชลฟ์สินค้าให้โดดเด่นขึ้นมาจากสินค้าอื่นๆ ได้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งการช่วยโปรโมทสินค้า ณ จุดขาย ได้มากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
และเพื่อตอกย้ำความพิเศษ และสายสัมพันธ์ระหว่าง LISA BLACKPINK และ moonshot ที่เป็นมากกว่าแค่พรีเซ็นเตอร์ทั่วๆ ไป ในงานวันเปิดตัวแบรนด์ที่ทางมูนช็อตได้มีอีเวนท์พิเศษสำหรับแฟนคลับลิซ่า โดย Lucky Fan ผู้โชคดีจะมีโอกาสได้เข้าร่าวมงานในวันเปิดตัวและได้ถ่ายรูปกับลิซ่าด้วย
“สำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ moonshot ในไทย ได้รับโอกาสที่จะใกล้ชิดกับลิซ่าได้มากกว่าใคร ด้วยการจัดงาน Fanmeet ในโอกาสเปิดตัวแบรนด์ ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม และ วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2562 สำหรับลูกค้าผู้โชคดี ซึ่งรายละเอียดและกติกาในการร่วมกิจกรรมเราจะใส่ไว้ในแฟนเพจทั้ง Facebook และ IG moonshot.thailand ผู้สนใจเข้าไปติดตามกติกาต่างๆ ที่จะทยอยแจ้งให้ทราบได้เป็นระยะ”
เช้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ค่อนข้างมั่นใจต่อการตอบรับจากการกระโดดมาในตลาด Cosmetic Retail ในครั้งนี้อย่างมาก สะท้อนผ่านเป้าหมายการเติบโตสิ้นปีนี้ที่วางไว้มากกว่าทุกๆ ปี โดยตั้งเป้า Growth สิ้นปีนี้ไว้ 25% ทั้งจากการรักษาธุรกิจในฐานของ Content ที่ตั้งเป้ารายได้สิ้นปีนี้ไว้ 650 ล้านบาท ขณะที่ในกลุ่ม New Business ไว้ที่กว่า 300 ล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่ม Mass ทั้งการขายผ่านโฮมช้อปปิ้ง รวมทั้งรีเทลที่คาดว่าจะทำได้ไม่น้อยกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเติบโตได้เร็วมากในช่วงเวลาแค่ 2-3 ปีนี้ ขณะที่ยังมีธุรกิจเสริมอื่นๆ เช่น การจัดอีเวนท์ที่ราว 30-40 ล้านบาท
ไม่หยุดเติม Media Ecosystem ให้สมบูรณ์
แม้จะมีความเชื่อว่าหากขาในธุรกิจรีเทลไปได้ดี สัดส่วนในฟาก Media อาจจะลดลง ทั้งจากช้อยส์ของ Media Buyer ที่มีมากขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าทางเซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จะลดความแข็งแรงในฟากธุรกิจคอนเทนต์ลง เพราะยังให้ความสำคัญกับบทบาทของการเป็น Content Provider ที่นอกเหนือจากการสร้างคอนเทนต์ หรือซื้อสิทธิ์คอนเทนต์จากต่างประเทศมาบริหารจัดการแล้ว จะแตกธุรกิจใหม่ในกลุ่มคอนเทนต์ โดยให้ความสำคัญกับการสร้าง Format หรือการสร้างรูปแบบและเนื้อหาในรายการให้เป็นโปรโตไทป์ ที่เหมาะสำหรับนำไปพัฒนาต่อในประเทศอื่นๆ และเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการต่อยอดฐานจากมีเดียเพื่อสร้างเน็ตเวิร์กใหม่ๆ ขึ้นมาโดยเฉพาะการหาพันธมิตรในต่างประเทศ
โดยเซนส์ทำสำเร็จแล้วกับรายการ “เสียงนี้มีราคา Singer Auction” ที่ออกอากาศอยู่ในช่อง 3 อีกหนึ่งความแปลกใหม่ของเนื้อหารายการที่ใช้การประมูลเสียงร้องเพลงเข้ามาเป็นเกม ซึ่งเป็นเกมที่มีรางวัลการันตีจากงานประกาศผลงานรางวัลโทรทัศน์ “เอเชี่ยน เทลเวิชั่น อะวอร์ด ปี 2017” และสามารถขายสิทธิ์คอนเทนต์รายการนี้ในเวียดนามได้แล้ว ด้วยการเซ็นสัญญากับ VTV3 สถานีโทรทัศน์อันดับหนึ่งของเวียดนาม และเตรียมนำไปผลิตเพื่อออกอากาศ ทุกวันศุกร์ เวลา 21.00 น. เริ่มเทปแรก 19 ก.ค. 2562 นี้ รวมทั้งยังเจรจาในอีกหลายๆ ประเทศที่สนใจ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รวมทั้งในเกาหลี และบางประเทศในยุโรปด้วย
“การคิดฟอร์แมตเพื่อขายในระดับโกลบอลเป็นอีกหนึ่งขาที่เราจะให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาโปรดิวเซอร์ไทยส่วนใหญ่ มักจะคิดรายการที่ตอบโจทย์ในระยะสั้นๆ ทำตาม Passion หรือทำให้สนุกๆ แบบจบเป็นครั้งๆ ไป โดยไม่ได้มองในมิติของการต่อยอด ซึ่งเรื่องนี้หลายๆ ประเทศทำมานานแล้ว แต่ในไทยยังมีน้อยมาก แต่เซ้นส์จะเริ่มโฟกัสเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยจะดึงโปรดิวเซอร์ชื่อดังของเกาหลีมาร่วมงาน เพื่อโฟกัสการพัฒนาฟอร์แมตรายการที่เหมาะสำหรับการไปต่อยอดได้ในหลายๆ ที่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการเติบโต เหมือนกับหลายๆ รายการ อย่าง The Voice ที่ออกอากาศไปได้กว่า 89 ประเทศทั่วโลก และรายได้ไม่ต่ำกว่าหลักสิบล้านบาทในการขายสิทธิ์แต่ละครั้ง ซึ่งหากเซ้นส์ ทำได้สำเร็จจะยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความสมบูรณ์มากขึ้นให้กับ Media Ecosystem โดยรวมที่มีอยู่ด้วย”
คุณเอ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเซนส์มีความแข็งแรงในขามีเดียทั้งจากกว่าสิบรายการที่ออนแอร์ในปัจจุบัน ล้วนอยู่ในช่องที่สามารถ Reach ได้สูง รวมทั้งเรตติ้งแต่ละรายการก็เป็นผู้นำในขณะที่ออกอากาศอยู่ เช่น ลูกทุ่งไอดอล, The Money Drop Thailand, แหวน 5 ท้าแสน, บริษัทฮาไม่จำกัด, คู่ไหน..ใช่เลย? ซึ่งหากแปลงจากเรตติ้ง เท่ากับเราจะสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ไม่ต่ำกว่า 3-4 ล้านคน รวมท้ังฐานจาก Online Platform อีกหลายล้านราย โดยเฉพาะยอด Subscribe ผ่านยูทูปที่มีราว 6 ช่อง ประมาณ 4- 5 ล้านราย ซึ่งเป็นฐานสำคัญที่จะสามารถต่อยอดความแข็งแรงของมีเดียที่มีอยู่ออกไปได้ รวมทั้งจากช่องทางออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียที่มีอยู่ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมในการ Reach ผู้ชมได้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มเติมรายการใหม่ๆ ใน Pipeline ที่มีอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบรายการทั้งที่เซ้นส์พัฒนาขึ้นมาเอง และที่ซื้อสิทธิ์มาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจจะมีรายการใหม่มาออนแอร์เพิ่มเติมอีกราว 1-2 รายการ
ขณะที่สถานการณ์วิกฤตต่างๆ ที่หนึ่งในพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจอย่าง YG Entertainment กำลังเผชิญอยู่นั้น คุณเอ ให้ความเห็นว่า ไม่ได้มองเป็นหนึ่งในประเด็นในความเสี่ยงของการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ เนื่องจาก พาร์ทเนอร์โดยตรงไม่ใช่ YG Entertainment แต่เป็น YG Plus หนึ่งในบริษัทลูกของ YG ที่ดูแลแบรนด์ moonshot อยู่ ประกอบกับ อยู่ในธุรกิจคนละส่วนกับที่เป็นการบริหารค่ายเพลงและไม่กังวลว่าจะส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งนอกจากธุรกิจในกลุ่มเครื่องสำอาง ทางเซ้นส์ยังมีความร่วมมือทางธุรกิจกับทาง YG ในมิติอื่นๆ เช่น การนำคอนเทนต์รายการโทรทัศน์ ภายใต้การดูแลลิขสิทธิ์ของทาง YG เข้ามาต่อยอดในไทย โดยอยู่ระหว่างคุยรายละเอียด และไม่จำเป็นต้องทบทวนแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องทางธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล ซึ่งทางเซ้นส์มีความคุ้นเคยกับทาง YG มาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี
Photo Credit : Facebook moonshot.thailand