หลังประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนในการนำ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (ASSET WORLD CORP : AWC) หนึ่งบริษัทในเครือทีซีซี กรุ๊ป เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการเสนอขายหุ้น (IPO) ไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณ 25% ของหุ้นทั้งหมด สำหรับการขยายธุรกิจและการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ซึ่งแน่นอนว่า AWC มีโอกาสที่จะเติบโตไปเป็นอีกหนึ่งทัพหลวง ที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่อาณาจักรไทยเบฟได้ในอนาคต ไม่ต่างจาก 2 พอร์ตใหญ่ในปัจจุบัน ทั้งในกลุ่ม F&B อย่างไทยเบฟเวอเรจ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและสินค้า FMCG อย่าง BJC ซึ่งปัจจุบันทั้งสองธุรกิจนี้ ต่างมีสินทรัพย์รวมอยู่ในพอร์ตธุรกิจของตัวเองไม่ต่ำกว่าหลัก 3-4 แสนล้านบาท ขณะที่ AWC มีสินทรัพย์รวมอยู่ในปัจุบันใกล้แตะแสนล้านบาทเข้ามาทุกทีแล้ว
และแม้ว่าวันนี้ จะยังไม่มีอัพเดทหรือความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องของ IPO เพิ่มเติมออกมา แต่ก็เห็นถึงการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความพร้อมในการจัดบ้าน รวมทั้งการแต่งตัวอย่างพร้อมสรรพเพื่อเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน จากแม่ทัพหญิง คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC ลูกสาวคนที่สองของเจ้าสัวเจริญ ในฐานะผู้นำกองทัพในพอร์ตธุรกิจอสังหาของเครือ
พร้อมวางแนวรบด้วยการสร้างความแตกต่างและจุดเด่นให้กับ AWC โดยเฉพาะการโฟกัสที่ Lifestyle Real Estate หรือการผสมผสานพอร์ตธุรกิจหลักใน 2 กลุ่มเบื้องต้น คือ กลุ่ม Hospitality หรือกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ ส่วนอีกหนึ่งขาจะอยู่ในกลุ่ม Retail & Commercial จากธุรกิจ Retail & Wholesale และ Office Building รวมทั้งจะเติมพอร์ตธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาในอนาคตข้างหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตได้มากยิ่งขึ้น
“การผสมผสานพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ โดยเฉพาะจากขาธุรกิจ Reatil &Commercial ที่จะมีความสม่ำเสมอของรายได้ ขณะที่ในกลุ่มโรงแรม ส่วนใหญ่จะเป็น Prime Property ที่ตั้งอยู่ใน Prime Location รวมทั้งการมีฐานลูกค้ากระจายไปในหลายซับเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะในธุรกิจไมซ์ ที่จะโฟกัสลูกค้ากลุ่มคอปอเรทที่มีกำลังซื้อสูงและยังเพิ่มรายได้ในส่วนธุรกิจเชื่อมโยง เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ที่สำคัญการมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายยังเอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนาในรูปแบบ Mixed Developed ที่ในโครงการเดียวจะมีทั้งโรงแรม รีเทล รวมทั้งแอทแทรคชั่นอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไปได้เพิ่มมากขึ้น และทำให้ AWC กลายเป็นเจ้าของโรงแรมรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในกลุ่มโรงแรมระดับ Midscale ขึ้นไป”
จากเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ AWC เป็นกำลังสำคัญของธุรกิจอสังหาในเครือ รวมทั้งสร้างความมั่นใจสำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาจับจองหุ้นเมื่อเปิด IPO คุณวัลลภา ยังได้อธิบายถึงศักยภาพที่เหนือกว่า รวมทั้งการวางกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต โดยเฉพาะการเติบโตได้แบบก้าวกระโดดในช่วงหลายปีจากนี้ ตามธรรมชาติของธุรกิจที่ส่วนใหญ่ยังเป็นโครงการใหม่ที่เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้ AWC เป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นใจและพึงพอใจให้กับ Stakeholder ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จาก 6 กลยุทธ์ ต่อไปนี้
1. การ Diversify และ บาลานซ์พอร์ตโฟลิโออย่างเหมาะสม ทั้งพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย และกระจายไปในแต่ละซับเซ็กเม้นต์อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและมีศักยภาพสูง เช่น ในธุรกิจโรงแรมที่ดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ จะให้ความสำคัญกับกลุ่ม MICE และเลือกใช้ Key Chain ที่เป็นไอคอนนิกของ Mice Hotel อย่างแมริออท โดยเฉพาะการปรับอิมพีเรียล ควีนส์ ปาร์คเดิม มารีแบรนด์ รีโพซิชั่นนิ่งเป็น แมริออท มาร์คีย์ แห่งแรกในเอเชีย และ 1 ใน 10 แห่งที่มีอยู่ทั่วโลก
“AWC มี Global Partner จาก 6 เชนโรงแรม ที่ตอบโจทย์กับแต่ละเซ็กเม้นต์ที่โฟกัส ทั้งแมริออท, ดับเบิลทรี, ฮิลตัน,เมอริเดียน ดิโอกุระ และมิเลีย สำหรับ 4 เซ็กเม้นต์ทั้งไมซ์ โฮเทล, ซิตี้ โฮเทล, ลักซ์ชัวรั่ โฮเทล และเลเชอร์ โฮเทล หรือกลุ่มตลาดนอนแบ็งแค็อก ซึ่งกระจายไปในกว่าสิบเดสทิเนชั่นท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ”
ที่สำคัญ ทรัพย์สินของ AWC กว่า 90% ในพอร์ตโฟลิโอยังเป็นฟรีโฮลด์ หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้พัฒนา จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวได้มากกว่าการเช่า
2. AWC Transformation การเร่งปรับทั้งแนวทางในการดำเนินธุรกิจ โครงสร้างองค์กร วัฒธรรมหรือค่านิยมต่างๆ ในองค์กรเพื่อเปลี่ยนภาพจาก Family Business มาโฟกัสที่การเซ็ทระบบต่างๆ ในองค์กร เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีแบบแผน รวมทั้งมีทิศทางในการทำธุรกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน การปรับโครงสร้างกำลังคน หรือทีมงานให้ตอบโจทย์และสอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจ รวมทั้งมีการวัดผลอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการจูงใจพนักงานในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันขององค์กรให้สูงขึ้น
3. จุดแข็งจากการมีพาร์ทเนอร์ระดับโลก เพื่อต่อยอดและผสมผสานทั้ง Local Expertise ของ AWC และ Global Partner ทั้งการแชร์โนวเลจ หรือการใช้เน็ทเวิร์คของพาร์ทเนอร์ ทั้งช่องทางการขาย การตลาด และฐานลูกค้าของทั้ง 6 เชน ที่มีฐานลูกค้าสมาชิกกว่า 290 ล้านคน กระจายอยู่ในทั่วโลก ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานของ AWC ต่ำกว่าตลาด เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการใช้ช่องทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือการจองผ่านทราเวล เอเยนต์ต่างๆ ความสามารถในการทำกำไรของ AWC ก็จะสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นสัดส่วนราว 20-30% ในการใช้เน็ตเวิร์คของทราเวล เอเยนต์ รวมทั้งการก้าวทันกับกระแสต่างๆ ที่โลกกำลังสนใจ
4. ความได้เปรียบในฐานะบริษัทในเครือ TCC Ecosystem ที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหามากว่า 30 ปี และมีกรรมสิทธิ์สินทรัพย์ต่างๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดให้ธุรกิจมีความหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอได้มากขึ้น ทั้งการปรับปรุงจากโครงการเดิมที่มี หรือการสร้างโครงการใหม่จากที่ดินที่มีศักยภาพจากการสนับสนุนของทีซีซีกรุ๊ป โดยช่วง 3-5 ปีนี้ มีโครงการที่ AWC เตรียมพัฒนาเข้ามาใส่ในพอร์ตอีก 13 โครงการ จาก 14 โครงการที่กำลังดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งการแชร์ความรู้ แชร์เทคโนโลยี หรือการทำงานร่วมกันแบบ Synnergy
“AWC สามารถคัดสรรผู้ประกอบการโรงแรมและแบรนด์ที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานที่และตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด พร้อมศักยภาพการวางตำแหน่งทางการตลาดและกลยุทธ์ที่ชัดเจนจากผู้ประกอบการโรงแรมด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของกลยุทธ์ราคาที่สามารถตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เพิมโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ พร้อมผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต”
5. ความชัดเจนในการวางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต ทั้งในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้ว หรือโปรเจ็กต์ใน Pipeline ที่เตรียมพัฒนาเพิ่มเติมเข้ามาในอนาคต ภายใต้งลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท สำหรับ 13 โครงการในไปป์ไลน์ที่วางไว้ตลอดช่วง 3-5 ปีนี้ รวมทั้งยังมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อลงทุนและพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งจากการคัดทรัพย์สินที่มีศักยภาพสูงจาก TCC Group มาพัฒนาต่อ รวมทั้งการมองโอกาสจากนอกเครือ ด้วยงบลงทุนเพิ่มเติมในแต่ละปีอีกไม่ต่ำกว่าปีละหมื่นล้านบาท โดยคาดว่าภายในปี 2568 AWC จะมีโรงแรมที่เปิดให้บริการทั้งสิ้น 27 โรง และมีจำนวนห้องพักมากถึง 8,506 ห้อง
6. การโฟกัสทาร์เก็ตลูกค้าคุณภาพ ที่มีกำลังซื้อสูง เพราะเป็นฐานที่มีการเติบโตดีของทั้งโลก ทำให้พอร์ตของ AWC จะโฟกัสที่กลุ่ม Hi Premium เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็น Hi Margin เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถสร้างการเติบโตทั้งแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีนี้ ที่ทุกโครงการส่วนใหญ่ยังเป็นโครงการใหม่จึงสร้างการเติบโตได้ในระดับสูง
ด้าน มร. สเตฟาน ฟานเดน อาวาเล หัวหน้าคณะกลุ่มโรงแรม AWC กล่าวว่า สินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการของ AWC มีความหลากหลายและสมดุลในเชิงธุรกิจ โดยสินทรัพย์โรงแรมเกือบทั้งหมด AWC เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และตั้งอยู่ในทำเลธุรกิจที่สำคัญและแลนด์มาร์คของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงมีศักยภาพที่จะสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนในการพัฒนาและใช้เวลาในการพัฒนาโครงการน้อยกว่า อันเป็นผลมาจาก Economy of Scale และประสบการณ์ของทีมงาน ทั้งหมดนี้ นำไปสู่ผลการปฏิบัติงานที่แข็งแกร่งของทุกโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว และศักยภาพในการแข่งขันที่มากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในธุรกิจโรงแรมและการบริการ พิสูจน์ได้จากรางวัลที่โรงแรมต่าง ๆ ในเครือ AWC เคยได้รับมากกว่า 50 รางวัล”
“เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ในปี 2561 ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยกว่า 38 ล้านคน ซึ่ง Hotels and Restaurants Sector สร้างรายได้ประมาณ 915,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.6% ของ Nominal GDP ของประเทศไทย จากข้อมูลจากในอดีตและการคาดการณ์ในระยะยาว ชี้ให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสให้ AWC สามารถเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด”
สำหรับผลประกอบการสำหรับ 3 เดือนแรกสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 ของโรงแรม 14 แห่ง ที่เปิดให้บริการแล้วของบริษัทฯ รวมถึงโรงแรมที่บริษัทฯ จะได้มาภายหลังจากการเข้าซื้อทรัพย์สินกลุ่ม 3 สร้างรายได้เท่ากับ 2,382 ล้านบาท และมี EBITDA เท่ากับ 941 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการถือเป็นกลุ่มธุรกิจหลักขององค์กร จึงก่อให้เกิดพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและสมดุล โดยโรงแรมส่วนใหญ่ในเครือ AWC ทำรายได้เหนือกว่าโรงแรมอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน ตามดัชนี RevPAR โดยสำหรับ 3 เดือนแรกสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 โดยมีอัตราค่าห้องพักต่อวัน (ADR) ของโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้ง 14 แห่งดังกล่าว อยู่ที่ 5,279 บาท ด้วยอัตราการเข้าพัก 83%
ถือว่าเห็นภาพได้ค่อนข้างชัด สำหรับการเร่งสร้างฐานทัพที่แข็งแกร่งแห่งใหม่ในพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ หลังสะสมประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษ ผ่านกลุ่มทีซีซีกรุ๊ป โดยคุณวัลลภา กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งทิศทางและเป้าหมายที่ AWC จะมุ่งไปนั้น สะท้อนผ่านทั้งชื่อและโลโก้ของบริษัทไว้อย่างชัดเจนแล้ว ในฐานะผู้สร้าง ASSET ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน โดยเฉพาะการมีฐานที่แข็งแรงและมี Growth Strategy ที่ชัดเจนควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนจาก Asset ที่มีอยู่ ไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างครอบคลุมนั่นเอง