หลังปล่อยให้กลุ่มเดอะมอลล์นำหน้าไปก่อนกับการได้สิทธิบริหารพื้นที่ค้าปลีกในสนามบินดอนเมือง วันนี้ถึงคราวของฝั่งเซ็นทรัล กรุ๊ป ได้โอกาสแสดงฝีมือกับการเข้าบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินเป็นครั้งแรกให้กับสนามบินอู่ตะเภา ภายหลังบริษัทร่วมทุนอย่าง บริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด ระหว่าง Central Department Store จากกลุ่มเซ็นทรัล และ บริษัท ดีเอฟเอส เวนเจอร์ สิงคโปร์ จำกัด สามารถชนะประมูลในส่วนของโครงการบริหารพื้นที่ร้านค้าและบริการ (Retail and Service) ภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภา ไปได้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา
ล่าสุด บริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด ได้เดินหน้าลงนามในสัญญาให้สิทธิเพื่อประกอบกิจการโครงการร้านค้าและบริการ กับ กองทัพเรือ โดยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อประกอบกิจการโครงการร้านค้าและบริการ ณ อาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา มีพื้นที่ในการบริหารทั้งหมด 1,400.5 ตร.ม. โดยได้รับสิทธิในการประกอบกิจการร้านค้าและบริการเป็นเวลา 10 ปี
คุณยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการบริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอสจำกัด กล่าวว่า บริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด เชื่อมั่นในศักยภาพของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกรองรับการขยายตัวของพื้นที่ (EEC) เป็นสนามบินที่สำคัญในภูมิภาค สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ
3 ล้านคน พร้อมเล็งเห็นโอกาสผ่านความร่วมมือในการประมูลสัมปทานกิจการโครงการร้านค้าและบริการ (Retail and Services) อันแข็งแกร่งของ 2 บริษัท ระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจค้าปลีกมากว่า 72 ปี ซึ่งปัจจุบันขยายธุรกิจครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจ มีจำนวนมากกว่า 3,700 สาขาในประเทศไทย และในต่างประเทศอีก 17 ประเทศทั่วโลก
ขณะที่ บริษัท ดีเอฟเอส เวนเจอร์ สิงคโปร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกท่องเที่ยวระดับลักซ์ชัวรี่มากว่า 59 ปี และยังเป็นผู้บริหารดิวตี้ฟรี และพื้นที่รีเทลในสนามบินและร้านปลอดอากรในเมือง รายใหญ่รายหนึ่งของโลก ดำเนินธุรกิจใน 13 ประเทศ จาก 4 ทวีป อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี ประเทศสิงค์โปร์, ท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก และท่าอากาศยานนานาชาติ ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยพื้นที่โครงการที่ทางบริษัทเซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด ได้ทำการบริหารภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภาแห่งนี้ ประกอบด้วย
ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เช่น Auntie Anne’s, KFC, Segafredo, Mr. Cup T, Amazon, Coffee World, New York Deli, Drinks & Quick Bites, และศูนย์อาหาร Eatery Gardens
ร้านขายสินค้า จากแบรนด์หลากหลาย อาทิ Central DFS Shop ที่มีทั้งสินค้าไทย สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง, สินค้าสำหรับเดินทาง ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว, ร้าน Thai Favourites ที่รวมผลิตภัณฑ์อาหารไทยและขนมไทยที่ขึ้นชื่อ, B2S, Boots, ร้านขายของที่ระลึก
นอกจากนี้ยังมี เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตรา และร้านจำหน่ายซิมโทรศัพท์มือถือ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และผู้มาใช้บริการสนามบิน
“ด้วยกระบวนการที่มีขั้นตอนชัดเจน มีความโปร่งใส และ สามารถตรวจสอบได้ของกองทัพเรือนับเป็นมาตรฐานของการประมูล เซ็นทรัลจึงมีความตั้งใจที่อยากเข้ามาพัฒนา ผลักดันพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ แห่งนี้ร่วมกับกองทัพเรือ ให้เป็นจุดหมายสำคัญ เป็นประตูสู่ภาคตะวันออกที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ สินค้า และบริการที่แตกต่างน่าประทับใจและเป็นที่จดจำ”
พลเรือโท ลือชัย ศรีเอี่ยมกูล ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จึงได้ทำการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในการพัฒนาคุณภาพการบริการ จำเป็นต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร การท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จึงเปิดประมูล ให้สิทธินิติบุคคลไทยในการประกอบกิจการร้านค้าและบริการ (Retail and Services) เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ณ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ ซึ่งผลจากการประมูล การท่าอากาศยานอู่ตะเภาตกลงให้สิทธิ บริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด ในการวางแผนลงทุนและพัฒนาพื้นที่ จำนวน 1,400.5 ตร.ม. เพื่อประกอบกิจการโครงการร้านค้าและบริการ (Retail and Services) ณ อาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ
โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562 สนามบินอู่ตะเภา รองรับ 16 สายการบิน 32 เส้นทางการบิน จาก 4 ประเทศ หลักๆ ได้แก่ จีน, รัสเซีย, มาเลเซีย และอังกฤษ มีจำนวนผู้โดยสารรวมกว่า 1 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้โดยสารในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 45% และผู้โดยสารระหว่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 55% แบ่งเป็น สัญชาติรัสเซีย 50%, จีน 40%, คาซัค 3% และมาเลเซีย 3% โดยนักท่องเที่ยวรัสเซียส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับบริษัททัวร์ สำหรับผู้เดินทางภายในประเทศเป็นผู้เดินทางท่องเที่ยวแบบอิสระ (Foreign Individual Tourism) และคาดว่าภายในปี 2562 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่า 2 ล้านคน
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าเมื่อกลุ่มเซ็นทรัลได้พัฒนาศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า และธุรกิจต่างๆ ในพื้นที่ใด เศรษฐกิจโดยรวมของพื้นที่หรือจังหวัดนั้นจะดีขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน เราหวังว่าจะมีจำนวนเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ จากหลายทวีป ที่เพิ่มมากขึ้น มาใช้บริการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ ซึ่งมีความสะดวกครบครันและพร้อมให้บริการได้อย่างเต็มที่ เป็นการช่วยพัฒนาและช่วยเพิ่มรายได้ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในพื้นที่ภาคตะวันออก พร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบนี้อีกด้วย”
ทั้งนี้ บริษัท เซ็นทรัล ดีเอฟเอส จำกัด ยังให้ความเชื่อมั่นว่า สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ จะกลายเป็นอีกจุดสำคัญของการท่องเที่ยว และระบบโลจิสติกส์ (Logistics) เนื่องจาก ตั้งอยู่ห่างเมืองพัทยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยเพียง 30 กิโลเมตร และอยู่ใกล้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัดระยองและชลบุรี
โดยสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาฯ เป็นสนามบินที่บริหารงานโดยกองทัพเรือ มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กองการบินทหารเรือ ซึ่งมีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อไปยังภาคตะวันออกของไทย เพื่อก้าวสู่การเป็นสนามบินนานาชาติที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้อย่างดี