ภาพจาก Kārlis Dambrānsเป็นอุปกรณ์ Gadget ก็มีดีลระดับประเทศได้ เมื่อผู้ผลิตสายรัดข้อมืออัจฉริยะอย่าง Fitbit สามารถคว้าดีลเป็นซัพพลายเออร์ให้กับรัฐบาลสิงคโปร์ในการช่วยประชาชนในประเทศลดโรคภัยด้วยการร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพของสิงคโปร์ (Health Promotion Board หรือ HPB) ในโครงการด้านสาธารณสุขของประชากร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเป็น Smart Nation ที่สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายไว้
ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกของบริษัทจากสหรัฐอเมริการายนี้ในการเป็นแพลตฟอร์มด้านสุขภาพแบบดิจิทัลครั้งใหญ่ในโครงการด้านการสาธารณสุขระดับโลก ซึ่ง Fitbit ตั้งเป้าว่าจะมีผู้ใช้งานใหม่จากโครงการนี้ราว 1 ล้านคน และหุ้นของ Fitbit ก็เพิ่มขึ้นทันทีถึง 2% จากดีลครั้งนี้ด้วย
โดยความท้าทายของสิงคโปร์ ซึ่งมีประชากรราว 5.6 ล้านคนก็คือ การพบว่า ประชากรสูงวัยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น โปรเจคนี้หรือที่เรียกว่า “Live Healthy SG” จึงหวังจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ของ Fitbit มาช่วยปรับพฤติกรรมของชาวสิงคโปร์ โดยผู้ใช้บริการจะได้รับสายรัดข้อมือจาก Fitbit (ไม่เสียค่าอุปกรณ์) แต่จะคิดค่าบริการรายเดือน ๆ ละ 10 เหรียญ (ประมาณ 220 บาท) เพื่อให้ระบบของ Fitbit เข้ามาช่วยแนะนำด้านสุขภาพแบบรายบุคคลให้กับชาวสิงคโปร์ได้
“ผู้เข้าร่วมของโปรแกรมนี้จะได้รับประโยชน์จาก AI และ Machine learning มาช่วยส่งเสริมการออกกำลังกาย, การกินเพื่อสุขภาพ และการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ” Zee Yoong Kang หัวหน้าฝ่ายบริหารจาก HPB กล่าว โดยโปรแกรมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูดคนทุกผู้ทุกวัย
บริการดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มเปิด Pre-registration ในกลางเดือนกันยายน และจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม ส่วนผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกได้ว่ายินยอมที่จะแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวกับ HPB หรือไม่ ซึ่งตามคำแถลง องค์กรจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกกลับมาและนำไปสู่โปรแกรมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับชาวสิงคโปร์
สิ่งที่น่าสนใจคือการเดินเกมของ Fitbit ในครั้งนี้ ท่ามกลางการเกิดขึ้นของคู่แข่งมากมายทั้ง Apple, Google, Samsung แต่ก็ยังสามารถคว้าดีลระดับชาติมาได้ ซึ่งการที่แบรนด์ระดับโลกร่วมมือองค์กรระดับประเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านสุขภาพของคนในประเทศให้ดีขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีที่มี ไม่เพียงแต่ทำให้ Fitbit ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น แต่หากโปรเจคนี้ประสบความสำเร็จในสิงคโปร์ก็อาจมีโปรเจคอื่น ๆ ในประเทศใกล้เคียงตามมาก็เป็นได้