หลังจากปีที่ผ่านมา Nestle ทุ่มเงิน 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อได้สิทธิ์ในการทำตลาดแบรนด์ Starbucks และเริ่มจำหน่ายสินค้าของ Starbucks ทั้งในยุโรป เอเชีย และละตินอเมริกาไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุด Nestle พร้อมแล้วกับการจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Starbucks ในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีการนำสินค้าในกลุ่ม Starbucks At Home ไปวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง Tmall และ JD.com รวมถึงโรงแรมและร้านค้าตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศด้วย
พาสตาร์บัคส์บุกทะลวงเข้าประตูบ้าน
สำหรับสินค้าจาก Starbucks At Home ที่ Nestle ช่วยจัดจำหน่ายให้นั้นมีทั้งหมด 21 รายการ โดยมีทั้งเมล็ดกาแฟ, กาแฟคั่วบด โดยมีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ “แคปซูล” สำหรับทำกาแฟภายใต้แบรนด์ Starbucks ซึ่งถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งกับเครื่อง Nespresso และ Nescafe Dolce Gusto โดยเฉพาะ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะทำให้ Starbucks ลดความกดดันในการแข่งขันกับ Luckin Coffee ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพเจ้าถิ่นลงได้ และอาจเป็นช่องทางสร้างรายได้ช่องทางใหม่ของบริษัทในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
“ทีมของเราทั้งสองฝั่ง ช่วยกันกว่า 6 เดือน เพื่อพัฒนากาแฟระดับพรีเมี่ยมให้มีความน่าตื่นตาตื่นใจ เราคราฟท์มันด้วยความใส่ใจและพาสชั่น ผสานกาแฟของเนสท์กาแฟและองค์ความรู้ของสตาร์บัคส์ ความเชี่ยวชาญในการคั่วและเบลน” Patrice Bula Marketing, Sales และ President ของ Nespresso กล่าว
“ด้วยการผสานความร่วมมือของทั้งสองแบรนด์ ทำให้เรามีพอร์ตฟอร์ลิโอกาแฟที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจให้ผู้บริโภคทั่วโลกได้มากที่สุด”
“จีน” ตลาดใหม่ที่ใหญ่มากของวงการกาแฟ
ทำไมใคร ๆ ก็อยากไปขายกาแฟที่จีน คำตอบของคำถามนี้อาจคล้ายกับคำตอบที่เคยเกิดขึ้นกับวงการสมาร์ทโฟนที่จีนเคยเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่เนื้อหอมสุด ๆ เมื่อ 3- 5 ปีที่แล้ว เพราะตอนนี้จีนก็กำลังเป็นตลาดกาแฟที่ใหญ่ และเนื้อหอมมาก ๆ เช่นกัน เหตุที่กล่าวเช่นนั้นมาจากสองปัจจัย หนึ่งก็คือ จีนมีการเติบโตด้านจำนวนของชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว และสองก็คือ การบริโภคกาแฟก็ถือเป็นไลฟ์สไตล์หนึ่งของชนชั้นกลางทั่วโลก
ทว่า เมื่อหันมาดูตัวเลขการบริโภคกาแฟจากจีนแล้วยังพบว่าค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ที่ประมาณ 6 แก้วต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นก้าวทะลุไปอยู่ที่ 400 และ 300 แก้วต่อปีกันไปแล้ว นั่นจึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็มองว่าตลาดนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้สูงมาก และพยายามขยายสาขากันอุตลุด
โดย Belinda Wong ซีอีโอของ Starbucks China เผยว่า สมรภูมินี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และแผนการของ Starbucks china ก็ค่อนข้างดุเดือดพอดู กับการตั้งเป้ารายได้ในตลาดจีนให้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าภายในปี 2022 ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ Starbucks มีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 600 แห่งต่อปี หรือเท่ากับว่าจะต้องเปิดร้านใหม่ทุก ๆ 15 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
จากแผนดังกล่าว หาก Starbucks ทำได้ (และมีสัญญาณว่าบริษัทน่าจะทำได้สำเร็จจริง ๆ) จะเท่ากับว่าพวกเขาสามารถขยายสาขาได้ 3,000 แห่งภายใน 5 ปี และเมื่อรวมกับสาขาเดิมที่มี ก็จะทำให้ Starbucks มีสาขาในจีนราว ๆ 7,000 แห่ง หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนสาขาที่มีในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ส่วนรายได้จะเป็นเท่าไรนั้น รอถึงปี 2022 แล้วมาดูกันว่าพวกเขาจะทำได้อย่างที่ตั้งเป้าหรือไม่