เละตาม Versace ไปติด ๆ สำหรับ “Starbucks” แบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาที่เผชิญดราม่าหนักมากในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ในขณะนี้
โดยเหตุเกิดจากนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นผู้ใช้ Weibo รายหนึ่งอ้างว่า บาริสต้าของ Starbucks สาขาที่ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ยของเกาะฮ่องกงมีการเขียนสโลแกนของกลุ่มผู้ประท้วงลงบนแก้วกาแฟของตนเองว่า “dear, democracy is a good thing” และเขายังสังเกตพบว่า ลูกค้าจากประเทศในแถบอาเซียนที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่เห็นมีใครได้รับข้อความดังกล่าวเลย
“เราไม่แน่ใจว่านี่เป็นการเขียนที่ระบุเป้าหมายหรือเปล่า แต่มันทำให้เราโกรธมาก และคิดว่าในเวลาเช่นนี้ Starbucks ในฐานะแบรนด์ร้านกาแฟระดับโลกควรมีมาตรฐาน และจรรยาบรรณในการให้บริการ รวมถึงต้องอบรมพนักงานให้มีมารยาทในการวางตัวด้วย”
ด้าน Starbucks เองเผยว่ามีการติดต่อกับผู้ที่โพสต์เรื่องราวดังกล่าวแล้ว และพนักงานในสาขาจิมซาจุ่ยอยู่ระหว่างการตรวจสอบความจริงในเรื่องดังกล่าวอยู่
แต่ที่เสียหายหนักจนแก้ไม่ทันก็คงจะเป็นเพจของ Starbucks China บน Weibo ที่เต็มไปด้วยคอมเมนต์ในทางลบจากลูกค้าที่มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน โดยคอมเมนต์ที่มีผู้ชื่นชอบมากที่สุดอันหนึ่งชี้ว่า การกระทำดังกล่าวทำให้ชาวจีนที่นิยมการดื่มกาแฟ Starbucks รู้สึกผิดหวังอย่างมาก พร้อมกับบอกว่าที่ผ่านมา แม้ว่ากาแฟของ Starbucks จะแพงกว่าเจ้าอื่น (เช่น Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟสัญชาติจีน) แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะจ่าย เพราะมีความประทับใจในบรรยากาศและประสบการณ์การดูแลที่ Starbucks มีให้ การกระทำของพนักงาน Starbucks ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกผิดหวังมาก
สั่นคลอนบัลลังก์กาแฟ
ไม่เฉพาะ Starbucks China ที่ใจหายใจคว่ำ แต่อีกหนึ่งแบรนด์ที่หายใจไม่ทั่วท้องก็คงจะเป็น Nestle เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่งประกาศส่งผลิตภัณฑ์กาแฟของ Starbucks มากถึง 21 รายการออกลุยตลาดจีนไปหมาด ๆ แต่กระแสนิยมในแบรนด์ Starbucks ที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนนี้ก็อาจทำให้ทั้งแผนที่ Starbucks และ Nestle หวังจะยึดครองตลาดกาแฟในจีนให้ได้ต้องพังทลายไปในพริบตา
ที่สำคัญ การเดิมพันครั้งนี้ยังมีมูลค่าสูงถึง 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐกับการที่ Nestle ทุ่มเงินลงไปเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการทำตลาดแบรนด์ Starbucks ในระดับโลก และถึงแม้ Nestle จะมีการจำหน่ายสินค้าของ Starbucks ทั้งในยุโรป เอเชีย และละตินอเมริกาไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ถึงเวลานี้ต้องบอกว่าตลาดกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลกอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่
เหตุที่กล่าวเช่นนั้นมาจากสองปัจจัย หนึ่งก็คือ จีนเป็นประเทศที่การเติบโตด้านจำนวนของชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสองก็คือ การบริโภคกาแฟก็ถือเป็นไลฟ์สไตล์หนึ่งของชนชั้นกลางทั่วโลก ทว่า เมื่อหันมาดูตัวเลขการบริโภคกาแฟจากจีนแล้วยังพบว่าค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ที่ประมาณ 6 แก้วต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นก้าวทะลุไปอยู่ที่ 400 และ 300 แก้วต่อปีกันไปแล้ว นั่นจึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็มองว่าตลาดนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้สูงมาก และพยายามขยายสาขากันอุตลุด
โดย Belinda Wong ซีอีโอของ Starbucks China เคยกล่าวไว้ว่า สมรภูมินี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และแผนการของ Starbucks china ก็ค่อนข้างดุเดือดพอดู กับการตั้งเป้ารายได้ในตลาดจีนให้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าภายในปี 2022 ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ Starbucks มีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 600 แห่งต่อปี หรือเท่ากับว่าจะต้องเปิดร้านใหม่ทุก ๆ 15 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
การปรากฏข้อความ “dear, democracy is a good thing” บนข้างแก้ว Starbucks จึงอาจไม่ใช่สิ่งที่ผิดหากอยู่ในบริบทอื่น แต่การมาอยู่บนแก้วกาแฟในมือของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่บังเอิญมาซื้อ Starbucks ในฐานะนักท่องเที่ยว บนพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางความคิด และความเชื่อทางการเมืองสูงปรี๊ดขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม และอาจนำไปสู่สถานการณ์ “น้ำผึ้งหยดเดียว” ได้ในที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้อความ “dear, democracy is a good thing” อาจนำไปสู่การพ่ายแพ้อย่างเป็นทางการให้กับ Luckin Coffee ได้เลยทีเดียว