ด้วยเป้าหมายที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์มสู่ Your Everyday App หรือ การเป็น Lifestyle Application อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Grab พยายามเติมฟีเจอร์ที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันไว้อย่างครบถ้วนในแอปฯ เดียว ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านการเดินทาง, สั่งอาหาร, ส่งของ แลกดีล หรือบริการในรูปแบบต่างๆ ที่มีอยู่ ทั้ง JustGrab, GrabCar, GrabTaxi, GrabBike (Win), GrabExpress, GrabFood, GrabRewards รวมไปถึงบริการเพย์เม้นต์ ในการจ่ายค่าบริการต่างๆ ได้สะดวกผ่าน GrabPay โดยไม่ต้องพกเงินสด เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ภายในแอปเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ
โดยบริการล่าสุด ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกโซเชียล กับอีกหนึ่งบริการใหม่ใน GrabFood ที่ให้บริการส่งอาหารในระยะใกล้ ในรัศมีราว 1 กิโลเมตร ด้วยระบบเดิน (GrabFood Walk) เพื่อเปิดกว้างให้ผู้ที่ไม่มีรถจักรยานยนต์ หรือในกรณีที่รถเสีย ฝนตก ถนนลื่น หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้รถในการส่งอาหาร ก็สามารถเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์เพื่อส่งอาหารให้กับ GrabFood ได้เช่นเดียวกัน
การเพิ่มบริการ GrabFood Walk ถือเป็นโซลูชั่นส์ที่ทำให้ Grab ขยายขนาดข้อมูลของพาร์ทเนอร์ที่อยู่บนแพลตฟอร์มได้มากขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นผู้ที่มียานพาหนะเท่านั้น ส่วนการกำหนดระยะทางในการส่งที่ประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถกำหนดระยะเวลาในการจัดส่งอาหารไปถึงผู้รับได้ภายในไม่เกิน 30 นาที ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในธุรกิจ Food Delivery รวมทั้งยังเป็นการเสริมความแข็งแรงในฐานะผู้นำตลาด Food Delivery ของ GrabFood ที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งไม่น้อยกว่า 50% ให้แข็งแรงด้วยบริการที่แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดอีกด้วย
ต้องถือได้ว่า หมั่นเติมฟีเจอร์บริการใหม่ๆ และแปลกจากที่เคยมีมาในตลาด เพื่อเพิ่มฐาน Users ได้ตลอดเวลา
และเพื่อให้ตอบโจทย์การ Executed แพลตฟอร์มไปสู่เป้าหมาย ในฐานะ Everyday App ได้อย่างสมบูรณ์ การเพิ่มฐานลูกค้าประจำที่ใช้งานอย่างสม่ำเสมอให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นย่อมมีความสำคัญ ทำให้ Grab ได้จัดแพกเกจพิเศษสำหรับ Users ขาประจำ ที่ใช้บริการฟีเจอร์ต่างๆ ภายในแอปฯ มาในระบบ Subscribe ด้วยการเสียค่าบริการต่อเดือน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ต่อเดือน ตั้งแต่ 500 -2,000 บาท เลยทีเดียว (มอบส่วนลดค่าบริการต่อครั้งตั้งแต่ 30-80 บาท)
ส่วนรูปแบบบริการที่สามารถ Subscribe ได้นั้น มีทั้งบริการแบบเหมาจ่ายส่วนลดสำหรับทุกบริการ ทั้ง JustGrab, GrabBike Win และ GrabFood ในราคา 900 บาทต่อเดือน หรือจะแยกเฉพาะบางบริการตามที่ใช้งานบ่อยๆ ก็ได้ เช่น ส่วนลด JustGrab ในราคา 520 บาทต่อเดือน บริการส่งของ GrabExpress ทั้งส่งของเบา 500 บาทต่อเดือน ระดับเบสิก 1,125 บาทต่อเดือน และแบบพรีเมี่ยม 2,000 บาทต่อเดือน รวมทั้ง Specail Offer ราคาพิเศษสำหรับ GrabBike Win ในราคาเพียง 169 บาทต่อครั้ง เป็นต้น
สำหรับเมนู Subscribe นี้ คาดว่าอยู่ในช่วงทดลองให้บริการในระยะสั้นๆ โดยทาง Grab จะมีออฟเฟอร์ Subscribe อยู่ในหน้าแรกของเมนู สำหรับผู้ใช้งานที่สนใจสามารถเลือกสมัครแพกเกจบริการได้ตามความต้องการใช้งาน โดยมีระยะเวลาในการสมัครแพกเกจได้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งคาดว่าทางแกร็บน่าจะนำผลที่ได้ไปประเมินการตอบรับเพื่อพิจารณาการให้บริการในอนาคตต่อไปนั่นเอง
อีกหนึ่งบริการที่อาจจะไม่ได้มีผู้บริโภคได้ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้กันทุกคน แต่ก็เป็นบริการใหม่ ก็คือ GrabDrive มีโชเฟอร์มาขับรถให้เรา คล้ายๆ U Drink I Drive ที่เรียกผู้ขับขี่มาขับรถในยามที่เราไม่สะดวกจะขับรถเอง เช่น ในช่วงวเลาที่ไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน แต่มีรถที่ต้องขับกลับไปด้วยตัวเอง
นอกจากบริการโดยตรงเหล่านี้แล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ที่สตาร์ทอัพเหล่านี้ ท้ายที่สุดล้วนแล้วแต่มุ่งหน้าสู่ความเป็น SuperApp ที่ต้องการให้ผู้บริโภคใช้เวลาบนแอปพลิเคชั่นของตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการสารพัดด้าน และมันไปสู่การจับจ่ายรวมทั้งคาดเดาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรอบด้าน หน้าตาแอปฯ Grab เมื่อสังเกตดีๆ แล้ว จึงมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอีกเพียบ เช่น ข่าวที่ในตอนนี้ยังเป็นเพียงข่าวที่เกี่ยวข้องการการเดินทาง หรือบริการของแอปฯ รวมทั้งเกมที่เกี่ยวกับของกิน
ทั้งหมดนี้ เป็นฟีเจอร์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีในแอปพลิเคชั่นที่เราคุ้นเคยกันว่าเป็นบริการ Ride Sharing แต่ความจริงแล้วได้เพิ่มเติมบริการที่ยังอยู่ในกระบวนการสร้างคุ้นเคยอื่นๆ อีก รวมทั้งเนื้อหาอื่นๆ ที่บ่งบอกวิสัยทัศน์ระยะยาวของสตาร์อัพรายนี้