ในวัย 61 ปี หลายคนอาจจะใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณ คิดรีไทร์ตัวเอง พักผ่อนให้เต็มที่หลังจากต้องทำงานหนักมาหลายสิบปี อยู่กับบ้านเล่นกับลูกหลาน หรือคนที่สะสม Passive Income ไว้มากพอแล้ว ก็อาจจะถือโอกาสทำตามความฝันด้วยการเที่ยวรอบโลก หลังจากปลดแอกตัวเองจากภาระรัดตัวที่เคยแบกมาก่อนหน้านี้
แต่กับ “พี่นิค -วิเชียร ฤกษ์ไพศาล” ผู้ก่อตั้งค่าย Genie records หนึ่งค่ายเพลงในเครือธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศอย่างแกรมมี่ ผู้ที่เลือกเริ่มต้นสร้างความท้าทายอีกครั้งบนทางเดินใหม่ให้กับชีวิตตัวเอง ในวัย 61 ปี หลังประกาศลาออกจากการเป็นผู้บริหารค่ายเพลงที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือ จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของวงการเพลงไทยอย่าง Genie records
วันนี้พี่นิคจะก้าวไปทิศทางไหน หรืออยากจะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาอีกหรือไม่ หลายคนคงอยากรู้ เพราะตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา พี่นิคอาจจะเคยเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ชีวิตใครหลายคน จนกลายเป็นศิลปินชั้นนำ ที่โด่งดังจนมีคนรู้จักทั่วทั้งประเทศ และในเวลานี้พี่นิคมองว่า “น่าจะถึงเวลาแล้ว กับการเริ่มสร้างเส้นทางชีวิตครั้งใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยการสะสางความฝันที่ยังค้างคาอยู่อีกหลายๆ อย่าง และในช่วงที่ผ่านมาอาจจะยังไม่ได้มีโอกาสได้ทำเสียที”
ถอดวิธีคิด “คิดบวก ทำให้คิดออก”
พี่นิคเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า ที่ผ่านมาชีวิตอยู่กับความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา ทำงานมาตั้งแต่ระดับพนักงานทั่วไป จนมีโอกาสได้ดูแลงานที่สำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในแกรมมี่ แต่ความฝันสูงสุดที่พี่นิคอยากทำ และพยายามบอก อากู๋ คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม อยู่เสมอ คือ อยากเปิดและบริหารค่ายเพลง จนสุดท้ายก็ได้โอกาสนั้นก็มาถึงจริงๆ
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยหรู สมหวัง และสวยงามเหมือนกับที่คาดหวังไว้ เพราะวันที่พี่นิคมีโอกาสได้ทำตามความฝันนั้น เป็นช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักกับวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ก่อนที่ในช่วงต้นปีต่อมา 1 ม.ค. 2541 พี่นิคก็ได้โอกาสที่ต้องการจากอากู๋ พร้อมด้วยเงื่อนไขสำคัญว่า “ห้ามเจ๊ง”
พี่นิค บอกว่า รอดช่วงนั้นมาได้เพราะความคิดบวกและเชื่อเสมอว่า “คิดบวก ทำให้คิดออก” กล้าทำในสิ่งที่ใครๆ เรียกว่า “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” กับการตัดสินใจเปิดค่ายเพลงใหม่ท่ามกลางวิกฤตที่มีอยู่รอบด้าน แต่พี่นิคก็ยอมรับว่ามีความเครียดในระดับสูงมากพอสมควร เพราะแม้จะได้โอกาสให้เปิดค่ายเพลงได้ แต่มีแค่โอกาส ที่เป็นอากาศจริงๆ เพราะในขณะนั้นแกรมมี่เองก็อยู่ในช่วงผ่าตัดองค์กร มีการปรับโครงสร้างแบ่งเป็นค่ายเล็ก ค่ายน้อย เพื่อแยกส่วนงานและโฟกัสการบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้บุคลากร ทั้งศิลปิน และทีมงานส่วนใหญ่จึงถูกจัดสรรและกระจายกันไปดูแลในส่วนต่างๆ
เมื่อได้โจทย์ใหญ่มา แม้จะเป็นความฝัน แต่ก็เป็นโอกาสที่ท้าทายอย่างมาก พี่นิคนั่งคิดทบทวนและหาวิธีทำให้ฝันเป็นจริง โดยที่ไม่มีทรัพยากรอยู่ในมือ ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด ไม่มีศิลปิน ไม่มีโปรดิวเซอร์ ไม่มีทีมงาน แต่ต้องพยายามเปลี่ยนวิธีคิด ไม่โฟกัสที่ปัญหา ต้องหาทางแก้ปัญหาให้ได้ จนทบทวนไปถึงบทกวีของเต๋าที่ว่า “ปั้นดินเหนียวขึ้นมาจนเป็นภาชนะ และจากความว่างเปล่าของภาชนะนี้เอง คุณประโยชน์ของภาชนะนี้จึงเกิดขึ้น”
“การได้เปิดค่ายโดยที่ไม่มีอะไร ก็เหมือนได้ชามเปล่ามาหนึ่งใบ ชามมีประโยชน์จากความว่างจึงใส่สิ่งต่างๆ ได้ ส่วนความหมายของทาง จริงๆ ก็แปลว่า ที่รกร้างว่างเปล่า เราต้องถาก ต้องถาง จึงเกิดทางขึ้น ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีทาง เวลาหาทางออกอะไรไม่ได้ วิธีคิดเหล่านี้ช่วยเราได้จริงๆ ไม่ว่าเราจะพบกับปัญหาเล็กหรือใหญ่ ง่ายหรือยาก สุดท้ายแล้วจะมีทางเสมอ “ไม่มีทาง ที่จะไม่มีทาง” เพราะทางไปดวงจันทร์ ไปดาวอังคาร คนเราก็ยังหาวิธีไปกันจนได้เลย”
ในระหว่างเตรียมแผนเพื่อเปิดค่ายนั้น พี่นิคไปนั่งทบทวน นั่งคิดหาทางแก้ปัญหาหน้าห้างใหญ่แถวลาดพร้าว แล้วมองเปรียบเทียบความแตกต่างของสองฟากฝั่ง ด้านหลังคือ ห้างใหญ่โต กับอีกฟากเป็นแค่โชว์รูม เป็นห้องเล็กๆ เรียงติดๆ กัน จนได้มาซึ่งโมเดลธุรกิจที่ไม่ต้องใหญ่มาก ทำค่ายเพลงที่เล็กๆ แบบโชว์รูม และใช้วิธีประกาศผ่านหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์ รับสมัครคนเก่งมีฝีมือจากทั่วประเทศ มาร่วมสร้างความฝันจากความว่างเปล่านี้ด้วยกัน โดยพี่นิคพร้อมที่จะฟังเพลงจากเทปคาสเซ็ตทุกม้วนที่ส่งมาด้วยตัวเอง ทำให้มีเดโมเทปหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 2541 ปีเดียวกันนั้น ก็มีเทปเดโมพร้อมโน้ตติดมาจาก “ธนาวุฒิ แก้วเพิก” ส่งมาที่จีนี่ เรคคอร์ด และเรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้น เชื่อว่า ทุกคนก็น่าจะเดากันได้ไม่ยาก พร้อมบทสรุปของสิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนี่ เรคคอร์ด ในปลายปีนั้น ด้วยตัวเลขผลประกอบการปลายปีที่ทำกำไรได้ 17 ล้านบาท พร้อมแจ้งเกิดศิลปินที่ทุกคนรู้จักกันดีในปัจจุบันในนามของ “ไท ธนาวุฒิ” นั่นเอง
“แม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหาและภาวะวิกฤต ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงชนิดที่ว่า แค่พลาดนิดเดียว ก็อาจจะพังพินาศได้ตลอดเวลา แต่แค่เราเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองจากมองที่ปัญหา มาเป็นการพยายามหาทางแก้ปัญหา ก็ทำให้เราเปลี่ยนจากวิกฤตให้กลายมาเป็นความสำเร็จได้ ซึ่งจากวันนั้น จีนี่ เรคคอร์ด ก็เติบโตและเดินทางมาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้”
คิดบวก – ห้ามแก่ – คบเด็ก
เส้นทางที่ผ่านมาของพี่นิค ยังมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ และอีกหลายวิกฤตที่ต้องก้าวข้าม โดยเฉพาะในยุค Technology Disruption ที่เทคโนโลยีพร้อมทำลายทุกอย่างที่ไม่สามารถปรับตัวตามโลกที่หมุนได้ พี่นิคจึงให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนตัวเองให้ก้าวทันไปตามโลกที่เปลี่ยน ทั้งบุคลิก ทัศนคติ Mindset โดยเฉพาะการเรียนรู้และเข้าใจทั้งศิลปิน แฟนคลับ และธุรกิจ
“คิดบวก” และ “ห้ามแก่” คือ สิ่งที่พี่นิคบอกตัวเอง ทั้งศิลปิน ทีมงาน พนักงาน ที่แวดล้อมพี่นิคส่วนใหญ่เป็นเด็ก และพี่นิคเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เด็กลง ด้วยการ “คบเด็ก” อยู่แวดล้อมท่ามกลางสังคมของเด็กๆ เพื่อให้เข้าใจวิธีคิด ภาษา และเรียนรู้ไลฟ์สไตล์ เด็กในยุคนี้ จนพี่นิคมีความกลมกลืนและเข้าใจเด็กๆ โดยที่ไม่ต้องพยายามเป็นเด็ก แต่เป็นสิ่งที่ทำจากความรู้สึก และเป็นตัวตนที่เป็นธรรมชาติจริงๆ
นอกจากเปลี่ยนตัวเองแล้ว ในฐานะผู้ดูแลศิลปิน การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ ทัศนคติ วิธีคิด และพฤติกรรมของศิลปินในสังกัดก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พี่นิคต้องดูแล เพราะศิลปินบางคน อาจจะมีความเป็น Artist สูง มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรืออยากจะนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนมากเกินไป โดยที่อาจไม่เข้าใจตลาด ไม่เข้าใจความชอบของแฟนคลับ ซึ่งบางครั้งพี่นิคก็จะยอมให้ศิลปินได้ทดลองทำในแบบที่ต้องการ เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่คิด หรือวิธีที่ต้องการนั้น สวนทางกับตลาด ซึ่งยากที่จะประสบความสำเร็จหรือได้รับการยอมรับ ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวและเปิดรับฟังสิ่งรอบข้าง ทำให้ศิลปินจีนี่ เรคคอร์ด ส่วนใหญ่มักจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอยู่เสมอ
“เราอยู่กับเด็ก เท่ากับเราอยู่ในกระแส เด็กคุยอะไรกัน เด็กเล่นอะไรกัน อะไรฮิต อะไรมา เราก็จะไม่ตกกระแส โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี โซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นมาก สำหรับการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งจีนี่ เรคคอร์ด ให้ความสำคัญกับ Tool นี้มาก เพราะเป็นทั้งช่องทางในการโปรโมท เป็นเครื่องมือขาย และเป็นการสร้าง Community ทำให้ศิลปินและแฟนคลับใกล้ชิดและเข้าถึงกันได้โดยตรง หรือเปิดโอกาสให้เชื่อมต่อกับคนที่รักดนตรีที่มากกว่าแค่ประเทศไทยแต่เป็นการเข้าถึงคนที่มีความชอบเหมือนกันได้ทั่วทั้งโลก ทำให้หลายๆ ครั้ง เราผ่านวิกฤต ผ่านทางตัน ด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ โดยโซเชียลมีเดียก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เรา”
กว่า 2 ทศวรรษ จีนี่ เรคคอร์ด ก้าวข้ามผ่านหลายๆ วิกฤต จากการเปลี่ยนมุมมองแบบเดิม และทดลองวิธีการขายใหม่ วิธีสื่อสารใหม่ เพราะช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาหลายต่อหลายครั้ง เช่น ในปี 2553 ช่วงมีเหตุการณ์ประท้วงที่แยกราชประสงค์ ประเทศอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ชัตดาวน์ประเทศ” ทุกอย่างแทบจะหยุดชะงัก แต่เป็นเวลาเดียวกับการโปรโมทอัลบั้มใหม่ “คราม” ของบอดี้สแลม ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้จีนี่ เลือกใช้โซเชียลมีเดียเป็นแกนหลักสำคัญ ทั้งการโปรโมท ทั้งการขาย ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นไปได้ค่อนข้างดี รวมทั้งยังเพิ่ม Gimmick เพื่อสร้างกระแสด้วยการทำตลาดแบบ Personalize สำหรับคนที่สั่งซื้อจะมี Booklet ที่พิมพ์ชื่อผู้สั่ง และลงทะเบียนว่าเป็นสมาชิกคนที่ 5 ของวงบอดี้สแลม ทำให้ธุรกิจยังสามารถเดินไปต่อ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางวิกฤตก็ตาม
ที่ผ่านมา จีนี่ เรคคอร์ด เป็นหนึ่งค่ายเพลงที่สร้างกระแส และปรากฏการณ์บนโลกโซเชียลได้อยู่เสมอ หลายคอนเทนต์สร้างเอนเกจบนโลกออนไลน์ได้เป็นหลักร้อยล้านวิว เช่น ภูมิแพ้กรุงเทพฯ ของป้าง นครินทร์, เชือกวิเศษ ของลาบานูน, เธอ ของค็อกเทล หรือ ทิ้งไว้กลางทาง โปเตโต้ เป็นต้น ขณะที่ศิลปินแม้ว่าอาจจะไม่ใช่วัยรุ่น แต่ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างใกล้ชิด และมีฐานแฟนคลับค่อนข้างเหนียวแน่น มี Followers ติดตามหลายล้าน ซึ่งนอกจากทำหน้าที่เป็นแฟนคลับที่คอยสนับสนุนศิลปินแล้ว ยังเป็น Media ที่คอยโปรโมท และกระจายข่าวทั้งกิจกรรม หรือตารางงานต่างๆ ของศิลปินแต่ละคนอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
ก้าวใหม่กับ Nick The Nick ผู้ไม่แพ้
ส่วนเส้นทางเดินใหม่ของพี่นิคต่อจากนี้นั้น พี่นิคยังมีอีกหลายความฝันที่อยากจะทำ โดยเฉพาะการใช้ความสามารถด้านการบริหาร และการตลาดที่สั่งสมมากว่า 36 ปี ซึ่งสะสมประสบการณ์มาตั้งแต่ก่อนมาปลุกปั้นค่ายจีนี่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ต่อไป โดยพี่นิค อธิบายว่า “พี่มีความคิดเสมอว่า แม้ว่าเราจะเป็นคนสร้าง เป็นคนก่อตั้งค่ายจีนี่ เรคคอร์ดขึ้นมา แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเป็นผู้ครอบครองสิ่งนั้นไปตลอด เพราะความคิดเราชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสร้างมาแล้วว่าจีนี่ เรคคอร์ด เป็นของทุกคนไม่ใช่ของเราคนเดียว ความสำเร็จและเติบโตที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ล้วนมาจากความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกคน ทั้งศิลปิน ทีมงาน และพนักงานทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เราเองก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำ และหลังจากที่เราออกไปก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแสดงความสามารถในการบริหารได้มากยิ่งขึ้นด้วย”
ดังนั้น ก้าวแรกของพี่นิค หลังเดินออกมาจากบ้านจีนี่ ก็คือ การตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจและการตลาด ภายใต้ชื่อ นิค เดอะนิค (NICK THE NICK) ซึ่งความหมายในชื่อก็สะท้อนถึงตัวตน “ผู้ไม่แพ้” ของพี่นิคได้เป็นอย่างดี และตอนนี้พี่นิคก็ได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทแฟชั่นแห่งหนึ่งแล้ว รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการคุยรายละเอียดกับบริษัทอื่นๆ ตามมา รวมไปถึงบางค่ายเพลงที่สนใจในตัวพี่นิคด้วย แต่ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยในรายละเอียดกันมากนัก
“วงการเพลงเราคงไม่ทิ้ง แต่กำลังหาวิธีหรือรูปแบบที่ลงตัว และคงไม่ใช่การไปตั้งค่ายเพลงใหม่ แต่จะพยายามมองหาวิธีในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้คนที่ชื่นชอบและรักดนตรี ส่วนบริษัทที่เราจะไปเป็นที่ปรึกษาให้ ก็จะต้องพิจารณาว่า ความรู้ความสามารถที่เรามีจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจเขาได้จริงๆ เราต้องทำได้และรู้สึกสนุก รู้สึกอยากทำ ทั้งจากความเข้าใจตลาด เข้าใจกลยุทธ์การบริหาร เข้าใจลูกค้าที่เรามี และเป็นบริษัทที่มีความเชื่อมั่นในตัวเราว่าเราจะสามารถผลักดันและสร้างการเติบโตและแข็งแรงให้ธุรกิจของเขาได้”
อีกหนึ่งความฝันของพี่นิค นอกเหนือจากการใช้ความรู้ความสามารถด้านธุรกิจให้เป็นประโยชน์แล้ว พี่นิคตั้งใจจะทำหน้าที่ในการส่งมอบโอกาส สร้างแรงบันดาลใจ สร้างกำลังใจให้ผู้คนผ่าน Own Channel ของตัวเอง ซึ่งหลายคนคงมีโอกาสได้เห็นหรือได้ฟังกันไปบ้างแล้วกับ “ศูนย์บรรเทาท้อ” สำหรับคนที่ต้องการคำปรึกษา ต้องการที่พึ่ง การเป็นกำลังใจสำคัญในช่วงเวลาแบบนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับชีวิตคนคนหนึ่งเลยทีเดียว
“พี่อยากนิยามตัวเองจากนี้ว่า Mr. Opportunity ที่เปิดกว้างและสามารถมอบโอกาสให้กับทุกคน เพราะถ้าพี่ยังอยู่ในจีนี่ อาจจะดูแลหรือให้โอกาสได้แค่ไม่กี่วง แต่พี่อยากทำได้โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่จำเป็นต้องปั้นนักร้อง แต่อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนหนึ่งคนก้าวข้ามความท้อ ลุกคนมาเดินตามความฝัน เป็นแรงบันดาลใจให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง โดยเลือกสื่อสารผ่านช่องทางของตัวเองทั้งแฟนเพจใน Facebook ที่เริ่มเล่นมาปีกว่า และเพิ่งเริ่มทำช่องใน Youtube อย่างจริงจัง รวมทั้งมี IG และ Twitter เพื่อใช้ในการสื่อสารและพูดคุยกับทุกๆ คน”
เมื่อถามพี่นิคว่า รู้สึกกังวล ท้อ หรือกลัวกับการเริ่มต้นใหม่ความท้าทายครั้งใหม่นี้มากน้อยแค่ไหน พี่นิค หัวเราะอารมณ์ดี พร้อมบอกว่า “ถ้าอ่านประวัติพี่มานี่ จะรู้เลยว่าอย่างพี่นี่ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาว มาสารพัดแล้ว ที่สำคัญ การที่เราจะเป็นผู้ให้โอกาสหรือให้กำลังใจใครได้ เราต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเองให้เป็นก่อน สิ่งที่เกิดขึ้น แค่มองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้น เป็นอีกหนึ่งสีสันและความสนุกสนานที่เกิดขึ้นในชีวิต”
พี่นิค ทิ้งท้ายไว้ด้วยการฝากกำลังใจให้ทั้งแฟนคลับที่คอยติดตาม และคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ ไว้ว่า “ความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนทั้งหลายในชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ น้ำที่ไม่เคลื่อนไหว สุดท้ายก็จะเน่า ดังนั้น การอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ทำให้มีความสุขเสมอไป ทุกอย่างต้องมีการเคลื่อนไหวจึงจะเกิดความสดชื่น ดังนั้น เราต้องไม่หยุดที่จะฝัน เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตเท่านั้นถึงจะฝันได้ ถ้าหยุดฝันก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว ที่สำคัญ ฝันแล้วต้องวิ่งตาม ต้องพยายามทำให้ฝันนั้นกลายเป็นจริง ต้องมีความหวัง มีความเชื่อกับสิ่งที่ฝัน และสักวัน ความฝัน ความหวัง ความเชื่อเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็น ความจริง ได้”
Photo Credit: Nick Genie