แม้ว่ากระแสการทาน “อาหารเกาหลี” จะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ “อาหารญี่ปุ่น” แต่ตลาดอาหารเกาหลีน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก “ไม่มีใครเป็นเจ้าตลาด” อย่างชัดเจน แม้จะมีทั้งแบรนด์เล็ก-ใหญ่ทยอยเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าตลาดอาหารเกาหลี 2,000 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตขึ้นในอัตรา 4-5% เป็นไปตามการเติบโตของตลาดธุรกิจอาหาร ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว 4 แสนล้านบาท
ขอรีแบรนด์ใหม่ เอาใจ New Gen
“Red Sun” เป็นหนึ่งแบรนด์ร้านอาหารเกาหลีที่ บริษัท อาร์ทีเอช อินเตอร์ ฟู้ด จำกัด ซื้อสิทธิ์แฟรนไชน์จากประเทศเกาหลี เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2557 ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ “สยามสแควร์” ก่อนจะขยายเพิ่มจนมาถึง 12 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 11 สาขา และ ในต่างจังหวัดอีก 2 สาขา คือ พัทยา และนครราชสีมา
กระทั่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด” ได้เข้าซื้อกิจการ “Red Sun” ด้วยสัดส่วนหุ้น 74% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ได้สิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจร้าน Red Sun ในประเทศไทยทั้งหมด และยังได้สิทธิ์ในการเปิดและบริหารแฟรนไชส์ Red Sun ในต่างประเทศทั่วโลก ยกเว้นเพียง 3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี จีน และกัมพูชา ขณะที่ผู้บริหารชุดเดิมถือสัดส่วนหุ้น 26% โดยมี “คุณนพวินท์ รอดริน” นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ฟู้ดซัน จำกัด
หลังจากประกาศดีลสำคัญไปได้เพียง 7 เดือน “Red Sun” รีแบรนด์ตัวเอง ด้วยเป้าหมายสำคัญ คือ การขึ้นสู่ผู้นำตลาดร้านอาหารเกาหลีในประเทศไทย และดันกระแสอาหารเกาหลีให้อยู่ในระดับแมส โดยมุ่งเจาะกลุ่ม “New Gen” ที่มีอายุ 18-25 ปี จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าหลักมีอายุ 25-35 ปี
เพราะกลุ่ม New Gen เป็นวัยรุ่นที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ หากร้าน Red Sun ยังคงรูปแบบเดิมๆอย่างที่เป็นมา อาจจะทำให้ลูกค้าเบื่อได้ ดังนั้นการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงต้องทำให้แบรนด์มี Dynamic อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันแบรนด์ปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย
อาหารเกาหลีต้องไม่น่าเบื่อและเข้าถึงง่าย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว “Red Sun” จึงรีแบรนด์ใหม่แบบ 360 องศา ด้วยแนวคิด “Korean with a Twist” ที่ผสมผสานความเป็นออริจินัลด้านคุณภาพและรสชาติแบบเกาหลีแท้ เข้ากับการสร้างประสบการณ์การทานอาหารเกาหลีแนวใหม่ เพื่อสร้างความสนุกให้กับลูกค้า และทำให้แบรนด์เข้าถึงง่ายขึ้น
เริ่มตั้งแต่ “การเปลี่ยนโลโก้ใหม่” โดยนำรูปกระทะแบบดั้งเดิมมาออกแบบใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งปรับโทนสีใหม่ เพิ่มคู่สีนำเงินและขาวเข้ามาเสริมกับสีแดงเข้ม
การปรับโทนสีทำให้ “ร้าน Red Sun โฉมใหม่” สว่างสดใสมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในโทนสีแดงทึมๆตามสไตล์เกาหลีดั้งเดิม นอกจากนี้ในการตกแต่งภายใน ยังเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และงานดีไซน์ที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ โดยนำกราฟฟิกที่ดัดแปลงจากลวดลายโลโก้ และวัตถุดิบภายในร้านมาใช้ด้วย
นอกจากนี้ยังเพิ่มประสบการณ์ในการทานอาหารผ่าน “เมนูใหม่” ไม่ว่าจะเป็นการจับเซ็ตคอมโบ้หลากหลายเซ็ต การเพิ่มเมนูใหม่ๆที่ทำให้ลูกค้ามีกิจกรรมในการทานอาหารมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลดขนาดเมนูเดิมเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเมนูได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้อาหารมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เทรนด์เดลิเวอรี่มา ก็ต้องคว้าไว้
สำหรับสาขาที่ 13 “สยามเซ็นเตอร์” ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นอกจากเป็นสาขาแรกที่มีการปรับลุคใหม่แล้ว ยังเพิ่มโซน “Grab&Go” บริเวณหน้าร้าน ให้ลูกค้าสั่งซื้ออาหารแบบ Take Away ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองและให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงอาหารเกาหลีได้ในเวลาเร่งรีบ
ขณะที่ภาพรวมบริการรับส่งอาหาร (Derivery)ในไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ Red Sun วางแผนเพิ่มเมนูที่เสิร์ฟเฉพาะเดลิเวอรี่เท่านั้นจำนวน 15 เมนู เนื่องจากในปีที่ผ่านมายอดขายในส่วนของบริการเดลิเวอรี่เติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 1% เพิ่มขึ้นเป็น 10% และคาดว่าภายในปี 2563 สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 20%
“ในปีนี้เรามีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และเซ็นทรัล ลาดพร้าว โดยใช้งบลงทุนทั้งหมด 40 ล้านบาท สำหรับการรีแบรนด์ เปิดสาขาใหม่ และรีโนเวทร้านเดิม สำหรับสาขาเดิมจะรีโนเวทตั้งแต่ปรับโลโก้ อุปกรณ์ในร้าน รวมท้ังเมนูที่จะเป็นแบบใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามคาดว่าจะปรับโฉมทุกสาขาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้ทุกสาขาพร้อมสำหรับการเป็น Hub ส่งอาหาร”
อย่างไรก็ตาม คุณนพวินท์ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 40% โดยมีสัดส่วนยอดขายมาจาก การนั่งรับประทานอาหารในร้าน 75% บริการเดลิเวอรี่ 10-20% และ Take Away 5% และส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 10%
นำประสบการณ์ “ฟู้ดแพชชั่น” ช่วยรันธุรกิจ
เพื่อให้ร้านอาหารเกาหลีได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น Red Sun มีแผนที่จะขยายสาขาใหม่ปีละ 4-6 สาขา ในทำเล “ห้างสรรพสินค้า” โดยใช้ศักยภาพของ “ฟู้ดแพชชั่น” ในการเลือกทำเลและขยายสาขา รวมทั้งนำ Know-How ไม่ว่าจะเป็น การจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ เพื่อทำให้ได้ต้นทุนต่ำ มาใช้ในการบริหารจัดการภายในร้านอีกด้วย
ส่วนการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะได้เห็นต่อไป คือ การพาแบรนด์ Red Sun ไปบุกตลาดอาเซียน ซึ่งทางคุณนพวินท์ขออุบรายละเอียดสำคัญไว้ก่อน แต่ยืนยันว่า ร้าน Red Sun โฉมใหม่ ได้รับอนุญาตจาก “Mr. Ha jin Ha” เจ้าของแบรนด์และผู้ก่อตั้ง ให้สามารถนำแบรนด์โฉมใหม่นี้ ไปใช้ในการขยายสาขาในระดับภูมิภาคได้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจอาหารเกาหลีประสบความสำเร็จ คุณนพวินท์ ระบุว่า นอกจากกลยุทธ์การแข่งขันของแต่ละร้านแล้ว การรักษาคุณภาพอาหารยังเป็นสิ่งสำคัญ แต่ขณะเดียวกันแบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ทันรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย
“ถ้าให้เปรียบเทียบตลาดร้านอาหารเกาหลีตอนนี้เหมือนกับร้านอาหารญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีก่อน บางคนไม่ชอบ แต่คนที่ชอบก็มี ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น ดังนั้นหากจะทำให้ร้านอาหารเกาหลีอยู่ในระดับแมส เรามองว่าจะต้องสื่อสารการตลาดมากขึ้น โดยเริ่มดึงดูดจากคนใกล้ตัว คนที่ชอบอาหารเกาหลีก่อน แล้วค่อยเจาะกลุ่มคนที่รู้จักเกาหลีแต่ไม่ได้ชื่นชอบอาหารเกาหลี เพื่อขยายฐานลูกค้าไปเรื่อยๆ” คุณนพวินท์ กล่าว