E-Commerce ย่อมาจาก Electronic Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งประโยชน์ของการทำธุรกิจ E-commerce นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ต่ำ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไม่มีค่าเช่าพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคนมาก แถมยังสามารถนำสินค้าและบริการเข้าถึงคนหมู่มากได้ทุกที่ทุกเวลา ซื้อขายและชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้อย่างสะดวกสบายและง่ายดาย จึงทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยม และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี
ย้อนรอยมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ (E-commerce)
แน่นอนว่าปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังมาแรง อ้างอิงจากมูลค่าตลาด E-commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปีตามรายงานของ ETDA
- มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2558 มีมูลค่าถึง 2,245,147.02 ล้านบาท
- มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2559 มีมูลค่าถึง 2,560,103.36 ล้านบาท
- มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2560 มีมูลค่าถึง 2,812,592.03 ล้านบาท
- มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2561 มีมูลค่าถึง 3,150,232.96 ล้านบาท
และยังคาดการณ์ว่าจากนี้ไปจนถึงปี 2565 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย น่าจะเติบโตขึ้นเฉลี่ย 22% เลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังทำให้ ความต้องการบริการ E-Logistics เพิ่มขึ้นอีกด้วย จากรายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดโลจิสติกส์มีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตสูงถึง 10-20% ต่อปี แยกเป็น 2 รูปแบบ คือ การขนส่งระหว่างธุรกิจ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ และการขนส่งโดยตรงถึงผู้บริโภค อาทิ Kerry, ไปรษณีย์ไทย, SCG Express, Lalamove, Flash Express,DHL เป็นต้น นำมาสู่การแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่ดุเดือดไม่แพ้กัน
สอดคล้องกับการเติบโตของ E-payment (การจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่ภาพรวมเติบโตขึ้นร้อยละ 35.7% โดยบริการที่เติบโต สูงสุด คือ บริการโอนเงินและการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Internet /Mobile banking)
ธุรกรรมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ในไตรมาส 3 ปี 2561 มีจำนวน 1,464 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 92 ล้านล้านบาท ขณะที่ปริมาณการใช้งานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 35.7 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซเช่นกัน (ข้อมูล: รายงานธุรกรรมการชำระเงิน ประจำไตรมาส 3 ปี 2561 ธนาคารประเทศไทย)
อีคอมเมิร์ซครึ่งปีแรก 2562 เป็นอย่างไร ในมุมมองของ Priceza
จากผลการสำรวจของ บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้นำอันดับ 1 ด้านเครื่องมือค้นหาสินค้าและบริการเปรียบเทียบราคาในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคนต่อเดือน เผยถึงประเภทสินค้าที่มีการซื้อขายมากที่สุดในแพลตฟอร์ม ดังนี้
อันดับ 1 ได้แก่ สินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม 27%
อันดับ 2 สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและแฟชั่น 17%
อันดับ 3 สินค้ากลุ่มอุปกรณ์ของตกแต่งบ้าน 11% เป็นต้น
ทั้งนี้ สินค้าในแพลตฟอร์มของไพรซ์ซ่ามีมากถึง 50 ล้านชิ้น ซึ่งมีแนวโน้มของจำนวนสินค้าเพิ่มขึ้นจากปี 2018 สูงถึง 29% แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่มากขึ้นของจำนวนสินค้า และจำนวนผู้ขาย สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้นทุกปีผ่านมุมมองของไพรซ์ซ่าได้อย่างชัดเจน
นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด และนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า ภาพรวมในปีนี้ จนถึงปี 2020 เราจะได้เห็นการแข่งขัน และการนำเสนอบริการใหม่ๆของ “ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” อย่างชัดเจน และดุเดือดขึ้นทุกๆปี ซึ่งตนเองคาดหวังว่าวงการธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นในระดับอาเซียน ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“สำหรับเทรนด์ธุรกิจในปี 2020 นั้นมั่นใจว่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยจะมีมูลค่าเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล เพราะโอกาสของผู้ประกอบการไทยยังมีอยู่มาก ทั้งขายในเว็บไซต์ตัวเอง ขายในมาร์เก็ตเพลส และขายผ่านโซเชียลมีเดีย”
ผู้ประกอบการจะต้องรู้ว่าเทรนด์อีคอมเมิร์ซที่กำลังจะมาเป็นอย่างไร มีความแตกต่าง หรือมีอะไรใหม่บ้าง เพื่อที่จะได้รับมือ มองหาโอกาส และปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของตัวเอง ร่วมหาคำตอบของเทรนด์ธุรกิจในปี 2020 ได้ที่งาน Priceza E-commerce Summit 2020 ในวันพุธ ที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงแรมสุขุมวิท 31
สำรองบัตรด่วนก่อนปรับราคาได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/Priceza-E-Commerce-Summit-2020