เป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ Disney+ ที่ออกมาประกาศว่ามียอดผู้สมัครใช้บริการทะลุ 10 ล้านรายหลังจากเปิดตัวไปเพียงแค่หนึ่งวัน แม้จะมีปัญหาในการเข้าใช้งานอยู่บ้างก็ตาม ผลคือมูลค่าหุ้นของ Disney เพิ่มตามตัวเลขนี้ไปถึง 7.35%
หนึ่งในปัจจัยที่ดึงดูดให้คนหันมาสมัคร Disney+ อาจเป็นเรื่องของราคา เพราะ Disney+ ตั้งราคาค่าบริการรายเดือนไว้ที่ 6.99 เหรียญสหรัฐ (หรือรายปีที่ 69.99 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือว่าถูกกว่า Netflix ที่เก็บ 12.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเกือบครึ่งหนึ่ง
นอกจากนั้น การเปิดตัว Disney+ ไม่ได้มีเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ยังเปิดบริการในแคนาดา และเนเธอร์แลนด์ด้วย โดยเร็ว ๆ นี้ บริษัทจะเปิดให้บริการในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นสองประเทศถัดไป
อย่างไรก็ดี ตัวเลขยอดผู้สมัครสมาชิกที่ว่ากันว่าแตะ 10 ล้านคนนี้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่ามาจากช่องทางใดบ้าง รวมถึงว่ามาจากยอดพรีเซลล์ของทางค่าย Verizon ด้วยหรือไม่ เพราะ Verizon เคยเสนอบริการชม Disney+ ฟรีหนึ่งปีแก่ลูกค้าของทางค่ายด้วยเช่นกัน
ส่วนคู่แข่งอย่าง Netflix จากสถานการณ์เมื่อวานก็พบว่ามีความหวั่นไหวในหมู่นักลงทุนพอสมควร เห็นได้จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงไป 3.1% แต่ถ้าเทียบในด้านจำนวนผู้ใช้บริการแล้ว ตัวเลขจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาพบว่า Netflix มีผู้จ่ายเงินสมัครสมาชิกราว 157 ล้านคน แบ่งเป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา 60 ล้านคน และตลาดต่างประเทศ 97 ล้านคน ซึ่งก็ยังถือว่ามีขนาดใหญ่กว่า Disney+ ทุกวันนี้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากการเปิดตัวนี้หุ้นของดิสนี่ย์ขยับขึ้นราว 7.3% สู่ระดับ All-Time Hight สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทแห่งนี้เลยทีเดียว
ส่วน Apple TV+ ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขผู้สมัครใช้บริการออกมาให้ทราบแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเป้าหมายของ Disney+ ที่ระบุว่าอยากให้มีผู้สมัครใช้บริการ 60 – 90 ล้านคนภายในปี 2024 ซึ่งหากวันนั้นเกิดขึ้นได้จริง ก็คงต้องมีใครสักคนเป็นผู้บาดเจ็บจากสงครามออนไลน์สตรีมมิ่งครั้งนี้อย่างแน่นอน