HomeBrand Move !!“หมดยุคเผาเงิน” Grab เปิดตัว GrabPay Wallet เบนเข็มสู่ธุรกิจสินเชื่อ-ประกัน ชี้ยังไม่เคยเห็นใครไม่มีกำไร

“หมดยุคเผาเงิน” Grab เปิดตัว GrabPay Wallet เบนเข็มสู่ธุรกิจสินเชื่อ-ประกัน ชี้ยังไม่เคยเห็นใครไม่มีกำไร

แชร์ :

(ซ้าย) คุณธรินทน์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัดและคุณวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ GrabPay ประจำประเทศไทย ของ Grab Financiall Group

หลังจากปล่อยให้บริการ Ride-Hailing และ Food Delivery วาดลวดลายในตลาดบ้านเรามาสักพัก ในที่สุด เครื่องมือทางการเงินตัวแรกของ Grab ก็ได้ฤกษ์บุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการ กับ GrabPay Wallet Powered by KBank ภายใต้การดูแลของ Grab Financial Group กลุ่มธุรกิจด้านการเงินของ Grab

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดย Grab ประเทศไทย เผยว่า เครื่องมือทางการเงินดังกล่าวเป็นการพาร์ทเนอร์กับธนาคารกสิกรไทย และได้เริ่มทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยพบว่าภายในเวลา 4 เดือนครึ่ง มีการเติบโตด้านจำนวนผู้ใช้งานถึง 3 เท่า (แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขผู้ใช้งานได้) นอกจากนี้ ยังพบว่าธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของ Grab ประเทศไทยย้ายไปอยู่บนช่องทางดังกล่าวแล้วกว่า 40% ของธุรกรรมทั้งหมด (สั่งอาหาร, เรียกรถ, ส่งพัสดุ) และในส่วนของผู้ใช้งาน พบว่า 60% มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย

ภาพเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับ Grab ในประเทศสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มีเพียงประเทศไทยและสิงคโปร์ที่มีการเปิดให้บริการ GrabPay Wallet เต็มรูปแบบ ส่วนอีก 4 ประเทศอย่างเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะเปิดตัวตามมาในเร็ว ๆ นี้

ทำไม GrabPay ไม่ใช้เทคโนโลยีของตัวเอง

แต่นอกจากชื่อ GrabPay Wallet แล้ว การมีวลีต่อท้ายอย่าง Powered by KBank อาจทำให้หลายคนสงสัยไม่น้อย ในจุดนี้คุณวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ GrabPay ประจำประเทศไทย ของ Grab Financiall Group เผยว่า Grab มีการพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินของประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการ ซึ่งสำหรับประเทศไทย ก็คือธนาคารกสิกรไทยที่มีความเชี่ยวชาญ และมีวิสัยทัศน์ด้าน FinTech

แต่ไม่เฉพาะธนาคารกสิกรไทย สิ่งที่ Grab Financial Group มองก็คือ การให้บริการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามกฎของธนาคารกลางของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย ซึ่งภาพนี้จะเกิดขึ้นในทุกประเทศที่ GrabPay Wallet เปิดให้บริการ

เจาะเนื้อใน มีอะไรใน GrabPay Wallet

สำหรับบริการ GrabPay Wallet ในระยะเริ่มต้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน ประกอบด้วย 4 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่

  • บริการชำระเงินกับร้านค้า – โดยผู้ใช้ GrabPay Wallet สามารถนำเงินที่มีในวอลเล็ตไปชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้ผ่านการสแกน QR Code โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab แล้วจำนวนหนึ่ง เช่น Major Cineplex, After You, KOI The, Kyo Roll En ฯลฯ โดยใช้โปรโมชั่น “แคชแบ็ก 20%” กับร้านค้าที่ร่วมรายงานมาดึงดูดใจให้เกิดการใช้จ่ายในระยะแรก
  • เติมเงินโทรศัพท์มือถือ
  • ดีลบุ๊ก (Dealbook) หรือระบบการขายดีลที่ Grab มองว่าคนไทยปัจจุบันคุ้นเคยดีอยู่แล้ว โดยในส่วนนี้จะมีการจับมือกับพาร์ทเนอร์ เช่น Major Cineplex ขายตั๋วหนังพร้อมป๊อบคอร์น หรือขายชานมไข่มุก KOI The ในราคาพิเศษ เป็นต้น
  • บริการ Subscription – เป็นการสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการ เช่น GrabPackage Ride Pass, GrabPackage Food Pass ที่ทาง Grab ระบุว่า ผู้สมัครจะได้ส่วนลดมากขึ้น

แต่หากสังเกตให้ดี นัยสำคัญของทั้ง 4 ฟีเจอร์นี้ก็คือ การศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งาน GrabPay Wallet เพื่อสร้างฐานข้อมูลผู้ใช้งานให้สมบูรณ์ ส่วนจะทำให้สมบูรณ์ไปเพื่ออะไรนั้น คำให้สัมภาษณ์ของ คุณวรฉัตร ลักขณาโรจน์ น่าจะชี้เป้าได้ดีที่สุด เพราะคุณวรฉัตรบอกว่า ในปี 2020  ที่จะถึงนี้ Grab Financial Group จะเปิดตัวบริการทางการเงินอย่างบริการสินเชื่อ (GrabFinance)  และประกันภัย (GrabInsure) เต็มรูปแบบ

จากธุรกิจส่งคน – ส่งอาหาร สู่บริการ “ส่งเงิน”

โดยหากอ้างอิงจากคำให้สัมภาษณ์ข้างต้น สามารถมองได้ว่า GrabPay Wallet เป็นทัพหน้าในการเข้าถึงผู้บริโภค และศึกษาพฤติกรรมให้ชัดเจนว่ามีความชื่นชอบในสินค้าและบริการอะไร ก่อนที่ทัพหลังอย่างธุรกิจการให้สินเชื่อ และธุรกิจประกันภัยจะนำบิ๊กดาต้าเหล่านั้นไปใช้ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้อย่างตรงจุด และครบวงจรยิ่งขึ้น

โดยที่ผ่านมา Grab ประเทศไทยได้เริ่มนำร่องให้บริการสินเชื่อไปแล้ว 3 ประเภท ได้แก่ สินเชื่อสำหรับเช่าซื้อยานยนต์ สินเชื่อสำหรับซื้อโทรศัพท์มือถือ และสินเชื่อเงินสด แต่จำกัดวงอยู่ในกลุ่มพาร์ทเนอร์ร่วมขับของแพลตฟอร์ม และจะมีการตัดเงินจากพาร์ทเนอร์ร่วมขับเป็นรายวัน โดย Grab ไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ใช้บริการ แต่ระบุเพียงแค่ว่า ยอด NPL ต่ำมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสถาบันการเงินใดมาก่อน

“เรารู้ว่ารายได้ของเขามีเท่าไร การหักเงินทุกวัน ๆ ละ 100 บาทนั้น สำหรับบางคนนั้นแตกต่างจากการหักเงินทุกเดือน ๆ ละ 3,000 บาทค่อนข้างมาก” คุณวรฉัตรกล่าว

ส่วนสาเหตุในการหันมาทำตลาดสินเชื่อ – ประกันภัยนั้น คุณวรฉัตรเผยว่า เพราะเห็นโอกาสว่า คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน และประกันภัยมาโดยตลอด แต่เมื่อ Grab เข้ามา ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูล และทำความเข้าใจพฤติกรรมได้ ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งนั้นน่าจะเป็นเรื่องของโอกาสในการสร้างรายได้ เนื่องจากที่ผ่านมา ธุรกิจด้านการเงินคือหนึ่งในธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมจับมือธนาคารอื่น นอกเหนือ “กสิกรไทย”

อย่างไรก็ดี ในช่วงเริ่มต้นของ GrabPay Wallet ยังเป็นการจำกัดวงเฉพาะผู้มีบัญชีของธนาคารกสิกรไทยอยู่ แต่ในอนาคตอันใกล้ ทาง Grab ก็พร้อมที่จะเปิดให้ผู้มีบัญชีของธนาคารอื่น ๆ เข้าร่วมด้วยได้เช่นกัน

“GrabPay Wallet เป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มบริการทางการเงินทั้งหมด และเราต้องการเร่งการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งปัจจุบัน ฝั่งของพาร์ทเนอร์ร่วมขับและร้านค้าบนแพลตฟอร์มมีการใช้งานอยู่แล้ว เราจึงต้องการขยายการใช้งานในฝั่งผู้บริโภค เพื่อให้ Ecosystem นี้สมบูรณ์”

เมื่อนักลงทุนเลิกโอ๋สตาร์ทอัพ

อย่างไรก็ดี หากมองอีกด้านหนึ่ง เราอาจพบว่า ถึงเวลาแล้วที่สตาร์ทอัพในกลุ่ม Ride-Hailing และ Food Delivery ต้องผันตัวไปสู่บริการทางการเงินเพื่อหารายได้เข้ามาจุนเจือธุรกิจ เห็นได้จากกรณีของ DoorDash- UberEats ในสหรัฐอเมริกาที่อาจเป็นตัวอย่างได้ดีว่า การแข่งขันในสงคราม Food Delivery ที่ร้อนแรงนั้น ไม่สามารถทำรายได้ให้องค์กรอยู่รอดได้อย่างแท้จริง และผู้ใช้บริการก็มี Loyalty ต่ำ พร้อมจะเปลี่ยนใจไปใช้บริการของคู่แข่งได้ทุกเมื่อหากมีโปรโมชันที่ดีกว่า ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทำให้ธุรกิจนี้ ต้องแข่งขันกันด้วยโปรโมชันอยู่ร่ำไป เหมือนที่หลายคนเปรียบเปรยว่าเป็นสงครามแห่งการเผาเงิน (แถมไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถหาตัวผู้ชนะได้ด้วย)

อย่างไรก็ดี ในอดีต นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพร้อมใจที่จะเทเงินสนับสนุนสตาร์ทอัพเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมหวังว่าเมื่อ IPO แล้วพวกเขาจะสามารถทำกำไรจากมูลค่าหุ้นได้ จนกระทั่งเกิดกรณีของสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Uber เข้าตลาดหุ้นเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และพบว่าไม่สามารถสร้างผลประกอบการที่เติบโตได้อย่างแท้จริงจนทำให้มูลค่าหุ้นจากที่เคยพุ่งขึ้นไปแตะ 46 เหรียญสหรัฐได้ลดลงเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้อยู่ที่ราว ๆ 30 เหรียญสหรัฐ (หรือลดลงราว 30%) และยังไม่มีแนวโน้มจะฟื้นกลับขึ้นมาในเร็ววัน

จากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่เฉพาะนักลงทุนที่ได้เรียนรู้ แต่อาจเป็น Grab เองที่ต้องเรียนรู้ และหาทางป้องกันไม่ให้ตนเองกลายเป็น Uber2 ด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่แน่ว่า บริการทางการเงินอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

Source

Source

 

 


แชร์ :

You may also like