คำนิยามว่าเป็นค่ายกาแฟอินดี้อาจจะน้อยไป เพราะ Blue Bottle Coffee ในวันนี้ใจกล้าออกปากบอกลูกค้าของตนเองว่า ถ้าหากอยากดื่มกาแฟของทางค่าย ตอนนี้มีแค่ 2 ทางให้เลือก นั่นคือ จ่ายค่าแก้วกาแฟ หรือไม่ก็นำแก้วกาแฟมาใส่เครื่องดื่มเองซะดี ๆ
แคมเปญนี้เกิดขึ้นจากซีอีโอของ Blue Bottle Coffee อย่าง Bryan Meehan ที่ยอมรับว่า ในบรรดาขยะแก้วกาแฟแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทั่วโลกที่มีมากกว่า 250 ล้านใบต่อปี ส่วนหนึ่งก็มาจากเชนกาแฟของพวกเขาด้วยเช่นกัน โดยข้อมูลของ Blue Bottle Coffee พบว่า ในแต่ละเดือนนั้น บริษัทมีการใช้แก้วแบบ Single-use ราว 15,000 ใบต่อหนึ่งสาขา ซึ่งเท่ากับว่า หากนับรวมจำนวนสาขาที่พวกเขามีทั้งหมดแล้ว Blue Bottle จะใช้แก้วเหล่านี้ไปมากถึง 12 ล้านใบต่อปีเลยทีเดียว
นั่นเลยทำให้ทางบริษัทตัดสินใจที่จะบอกกับลูกค้าในสาขา Bay Area ว่า ต่อจากนี้ไป หากต้องการดื่มกาแฟของทางค่าย ลูกค้าสามารถนำแก้วกาแฟของตนเองมาได้ ไม่เช่นนั้นก็จะมีแก้วของทางร้านให้บริการ แต่ลูกค้าต้องจ่ายเงินค่าใช้แก้วเป็นการแลกเปลี่ยน โดยทางร้านมองว่า แคมเปญนี้จะเป็นตัวทดสอบว่าผู้บริโภคยอมรับได้แค่ไหนกับแนวคิดดังกล่าว และหากได้รับผลตอบรับที่ดี ก็อาจขยายไปยังสาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศในอนาคตด้วย
สำหรับค่าเช่าแก้วนั้น Blue Bottle เผยว่าอยู่ระหว่าง 3 – 5 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 90 – 150 บาท) ซึ่ง Meehan ยอมรับว่า แคมเปญดังกล่าวอาจทำให้ชีวิตของลูกค้ายุ่งยากขึ้น รวมถึงอาจทำให้บริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา แต่เขาก็ยังอยากทดลองทำแคมเปญนี้อยู่ดี
ด้าน ดร. M. Sanjayan พาร์ทเนอร์ด้านความยั่งยืนของ Blue Bottle Coffee เผยว่า การใช้แพกเกจแบบ Single-Use นั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และถึงแม้การรีไซเคิลจะมีความสำคัญก็จริง แต่ถ้าเราใส่ใจในอีก 2R นั่นคือ Reuse และ Reduce เราก็สามารถช่วยโลกได้เช่นกัน
“สิ่งที่ Blue Bottle Coffee ทำน่าสนใจมาก เพราะพวกเขาพุ่งเป้าผู้บริโภคโดยตรงให้มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา อีกทั้งเราต้องยอมรับว่า การทำสิ่งเหล่านี้ เราจะหวังให้ภาคเอกชนเปลี่ยนแปลงฝ่ายเดียวไม่ได้ ผู้บริโภคก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี ในแง่ของการให้บริการภายในร้าน เชื่อว่าส่วนหนึ่ง Blue Bottle เองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น การทำความสะอาดแก้วกาแฟใช้แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเสิร์ฟกาแฟในแก้วแบบ Single-use ก็เป็นอันจบหน้าที่ และในส่วนที่ว่าไอเดียนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน ปี 2020 ที่กำลังจะมาถึงคงมีคำตอบรออยู่