ด้วยความเชื่อว่า “ธุรกิจโรงภาพยนตร์” ไม่ได้ถูกดิสรัปต์ จากบริการวิดีโอ สตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็น เน็ตฟลิกซ์, ดิสนีย์พลัส, ไลน์ทีวี รวมทั้งแพลตฟอร์มใหม่ที่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะจุดต่างของโรงภาพยนตร์ คือคนต้องการดูหนังใหม่ ไม่ชอบรอ เมื่อมั่นใจในจุดนี้ เจ้าตลาด “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” จึงเดินหน้าขยายสาขาทั่วประเทศ 77 จังหวัด ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้ธุรกิจโรงหนัง แต่ยังโกยรายได้จาก “สื่อโฆษณา” อีกทาง
หากดูเม็ดเงินโฆษณาย้อนหลัง 5 ปี ในจังหวะที่สื่อออนไลน์บูม และสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) หลายสื่อได้รับผลกระทบตัวเลขติดลบมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน แต่โฆษณาในโรงหนังยังโตได้ สะท้อนจากข้อมูล “นีลเส็น ประเทศไทย” ที่รายงานไว้ดังนี้
- ปี 2558 มูลค่า 5,133 ล้านบาท เติบโต 15%
- ปี 2559 มูลค่า 5,445 ล้านบาท เติบโต 6%
- ปี 2560 มูลค่า 6,816 ล้านบาท เติบโต 25%
- ปี 2561 มูลค่า 7,383 ล้านบาท เติบโต 8%
- ปี 2562 (ม.ค.-พ.ย.) มูลค่า 7,748 ล้านบาท เติบโต 14%
ปัจจัยการขยายตัวของเม็ดเงินโฆษณาโรงหนัง มาจากผู้นำตลาดอย่าง “เมเจอร์ ซีนีเพล็ก” ยังเดินหน้าขยาย “โรงหนัง” ทั่วประเทศ สิ้นปี 2562 มีสาขารวม 170 สาขา 812 โรง ครอบคลุม 60 จังหวัด และตั้งเป้าขยายโรงหนังให้ครบ 1,200 โรง มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2568
นั่นเท่ากับเป็นโอกาสของสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ ที่สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศหลากหลายกลุ่ม ทั้งคนเมือง คนต่างจังหวัด ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยรุ่น คนทำงาน และครอบครัว สร้างความน่าสนใจให้กับสินค้าและแบรนด์ต่างๆ ใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร เช่นเดียวกับสื่อแมส
แค่ Awareness ไม่พอ ต้องโตด้วย ‘มีเดีย โซลูชั่น’
คุณสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในยุคที่สื่อมีความหลากหลายและมีสื่อออนไลน์เข้ามาเป็นตัวเลือกมากขึ้น สินค้าและแบรนด์จึงต้องการได้ประโยชน์จากการใช้สื่อไม่เพียงแค่สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) เท่านั้น แต่ต้องการเห็นความ “คุ้มค่า” การใช้งบโฆษณาผ่านสื่อที่ช่วยสร้างแบรนด์และยอดขายได้จริง ปี 2563 เมเจอร์ฯ วางแผนการบริหารธุรกิจโฆษณาผ่าน 5 กลยุทธ์
1. มีเดีย โซลูชั่น ที่ไม่เพียงแค่สร้าง Brand Awareness แต่เป็นสื่อการตลาดเต็มรูปแบบ ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และ On Ground เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์มากขึ้น
2. On ground Marketing ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญ ในการสร้างประสบการณ์ให้กับพาร์ทเนอร์และลูกค้า ด้วยบริการจัดอีเวนท์ งานที่เป็นซิกเนเจอร์ทำมาต่อเนื่อง คือ Movie on The Beach จัดเป็นปีที่ 7 และ Movie on The Hill จัดเป็นปีที่ 3 หลังจากได้เสียงตอบรับดีจากลูกค้า ปี 2563 มีแผนจัดเพิ่มขึ้นอีก 3 งาน รวมเป็น 5 อีเวนท์
3. Big Data สร้างแผนการตลาด เมเจอร์ฯ มีการเก็บ Data ผ่านแอปพลิเคชั่น Major Cineplex โดยนำ Data ที่ได้มาวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าและตอบโจทย์แบบลงลึกทำการตลาดแบบรายบุคคล (Personalize) ที่สามารถขยายกลุ่มเป้าหมายจากบุคคลไปสู่ลูกค้า Corporate โดยเฉพาะการทำ CRM ให้สิทธิประโยชน์ สิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้กับลูกค้าใช้บริการ
ที่ผ่านมามีพาร์ทเนอร์กลุ่มคอร์ปอเรท เข้ามาร่วมทำการตลาดผ่าน Naming Sponsor เช่น โรงภาพยนตร์ VIP Honda Ultimate Screen, โรงภาพยนตร์ VIP THAI Smooth as Silk Premier Cinema, โรงภาพยนตร์ CMC 4DX, โรงภาพยนตร์ GSB present IMAX, โรงภาพยนตร์ KODOMO Kids Cinema และ โรงภาพยนตร์ Lazada Kids Cinema เป็นการ “สร้างแบรนด์” ผ่านโรงภาพยนตร์เพื่ออัพเกรดการดูแลลูกค้าของแต่ละบริษัท รวมทั้งสร้าง “พื้นที่ส่วนกลาง” รูปแบบ Lounge เพื่อให้ลูกค้าของแบรนด์ต่างๆ เข้ามาใช้บริการ
4. เจาะลูกค้า Agency โดยทำงานร่วมกับเอเยนซี่โฆษณามากขึ้น เน้นเพิ่มฐานลูกค้า Global brand บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ซื้อสื่อโฆษณาผ่านเอเยนซี่ โดยจะร่วมกันทำ Workshop วางแผนการทำงานร่วมกัน รวมทั้งจัดแพ็คเกจให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละแบรนด์
5. จับมือพาร์ทเนอร์สร้างกิจกรรมใหม่ เน้นเพิ่มมูลค่าให้กับแพ็คเกจการขายมากขึ้น เช่น การคิดกิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ ร่วมกันกับ Index creative และ Disney เป็นต้น
ด้วยกลยุทธ์มีเดีย โซลูชั่นนี้ เมเจอร์ฯ เชื่อว่าจะช่วยให้ธุรกิจสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ปี 2563 ยังโตต่อได้ไม่ต่ำกว่า 15-20% เช่นเดียวกับปีนี้