หลังจากมีข่าวมาพักใหญ่ว่า Tesco (เทสโก้) ค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ มีความต้องการขายกิจการในประเทศไทยและมาเลเซีย ล่าสุดวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทสโก้ เปิดให้รับซองประมูลซื้อกิจการ และมีการคาดการณ์ว่าเจ้าสัวของไทย 3 ราย ประกอบด้วย กลุ่มตระกูลเจียรวนนท์ หรือ CP All กลุ่มจิราธิวัฒน์ – เซ็นทรัล และ สิริวัฒนภักดี – Big C จะเข้าร่วมวงในดีลนี้ ผลปรากฏว่าในวันนี้ (16 ม.ค.) ทางด้านบิ๊กซีได้ออกมาคอนเฟิร์มแล้วว่า ได้แสดงความสนใจเข้าร่วมประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Big C เผย 3 ปัจจัยลุยศึกนี้ เต็มสูบ
โดย คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า “เรามีความสนใจในธุรกิจนี้ เพื่อต่อยอดธุรกิจที่ Big C และ BJC มี… เราชอบการแข่งขันอยู่แล้ว เราสนุกกับการแข่งขัน ที่ผ่านมา BJC ก็แข่งขันกับธุรกิจระดับโลกมาโดยตลอด” ทั้งนี้ทางบิ๊กซีได้แสดงความสนใจอย่างเป็นทางการผ่านตัวแทนเทสโก้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับปัจจัยการพิจารณาว่า Big C จะลุยเต็มสูบแค่ไหนในดีลนี้ คุณอัศวิน มองว่า มี 3 ส่วน คือ 1. ราคา เพราะทาง BJC และ Big C ต่างก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วย 2. สภาพการแข่งขันในตลาด 3.กฎหมาย โดยมีประเด็นว่าอยู่ที่การตีความหรือนิยาม การเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีกในประเทศไทย ทั้งนี้ทางกลุ่มของ Big C เองก็อยู่ในระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าร่วมประมูลในนามของ BJC หรือ TCC ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจในเครือของกลุ่มเช่นเดียวกัน
เสริมจุดแข็งในธุรกิจค้าปลีก
ทั้งนี้ความสนใจเข้าซื้อกิจการเทสโก้ในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ทาง “สิริวัฒนภักดี” ก็มีบิ๊กซีอยู่ในมืออยู่แล้ว คุณอัศวิน ให้ความเห็นว่า ถึงแม้ธุรกิจจะคล้ายกันแต่ก็ยังให้ความสนใจ เพราะ “ทำเล” ที่จะได้มา เมื่อในบางพื้นที่ บางจังหวัด มีเทสโก้ โลตัสแล้ว แต่ยังไม่มีบิ๊กซี หรือบางแห่งสาขาของเทสโก้ โลตัส ก็มีความแข็งแกร่งกว่า รวมทั้งฐานลูกค้าก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว
ปัจจุบัน เทสโก้ โลตัส รวมทุกรูปแบบร้านทั้งใหญ่-เล็ก ในประเทศไทย มีทั้งสิ้น 1,967 สาขา ส่วนบิ๊กซีมีสาขาอยู่ราวๆ 1,379 สาขา โดยทางบิ๊กซีมีแผนว่าจะเปิดสาขาฟอร์แมตเล็ก เช่น มินิ บิ๊กซี ราวๆ ปีละ 300-400 สาขา ส่วนสาขาไซส์ใหญ่ยังไม่เปิดเผยจำนวนออกมา แต่มีแผนจะเปิดเพิ่มมากขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากช่วงปลายปี 2562 เพิ่งเปิดสาขาที่ปากช่อง, ไทรน้อย สามย่านมิตรทาวน์ และปอยเปต
ส่วนคู่แข่งรายอื่นในอภิมหาบิ๊กดีลนี้ ก็มีจำนวนมากเช่นกัน โดยทาง CP All มีร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 11,700 สาขา กับห้างแมคโครอีก 137 สาขา ส่วนกลุ่มเซ็นทรัล มีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล 32 สาขา โรบินสัน 49 สาขา ส่วนท็อปส์มี 265 สาขา และถ้าหากว่านับคอนวีเนี่ยน สโตร์อย่าง Family Mart เข้าไปด้วยก็จะบวกอีก 1,000 สาขาเลยทีเดียว
มีอำนาจเหนือตลาด?
จากความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรค้าปลีกในมือเจ้าสัวใหญ่ทั้ง 3 กลุ่มตระกูล ทำให้เปิดคำถามว่าถ้าหากว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ครองแบรนด์ “เทสโก้” เข้าไปอีก จะทำให้กลุ่มธุรกิจนั้น “มีอำนาจเหนือตลาด” กล่าวคือ มีส่วนแบ่งการตลาดเกินกว่า 50% ในตลาดค้าปลีก จนส่งอิทธิพลไปถึงซัพพลายเออร์และผู้บริโภคหรือไม่นั้น ทั้งนี้ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาและตีความของหน่วยงานภาครัฐอีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแข่งขันดุเดือดของ “ค้าปลีก” ไทย ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กลุ่มทุนข้ามชาติจะเข้ามาสยายปีกในประเทศไทย ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภค และสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายในประเทศ ทำให้ที่ผ่านมามีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถแข่งขันในสมรภูมินี้และยืนหยัดอยู่ได้ ดังนั้นในเกมนี้….ขาใหญ่ทั้ง 3 รายก็เลยยิ่งต้องใหญ่ให้มากกว่าเก่า!