ทุกอุตสาหกรรมต้องเผชิญหน้ากับคลื่น “ดิจิทัล ดิสรัปชัน” ที่ไม่มีวันจบ เทคโนโลยีทั้งเก่าและใหม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว การปรับตัวของธุรกิจให้เท่าทันหรือรวดเร็วกว่า เป็นหนทางที่จะสามารถโต้คลื่น “ดิจิทัล ดิสรัปชัน” นำธุรกิจให้อยู่รอดในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับหลายปัจจัยที่เข้ามาส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ทั้งสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม และอาจนำไปสู่การหยุดชะงักทางระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่องแบบเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นนวัตกรรมจึงเป็นกุญแจสำคัญของการแข่งขัน บริษัทยักษ์ใหญ่เร่งปรับตัวโดยนำนวัตกรรมเข้าไปใช้ ในขณะที่บริษัทที่ยังไม่พร้อมปรับตัว หรือปรับตัวไม่ได้อาจจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และล้มไปในที่สุด ฉะนั้นการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลต้องทำอย่างไร? ยังเป็นโจทย์ที่หลายธุรกิจยังหาคำตอบ
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากลุ่มสตาร์ทอัพเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมมากกว่าองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องด้วยกระบวนการทำงานและโครงสร้างองค์กรที่ไม่ซับซ้อน มีกระบวนการตัดสินใจที่รวดเร็วในการทำงาน ประกอบกับทีมงานเป็นคนรุ่นใหม่มีทัศนคติกล้าคิด กล้าทำ กล้าทดลองสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบการทำงานแบบ Agile ที่ธุรกิจดั้งเดิมพยายามนำมาปรับเพื่อพาธุรกิจก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่ธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้น เมื่อเอ่ยถึงนวัตกรรม กลับเผชิญความท้าทายมากกว่า ทั้งในแง่โครงสร้างองค์กรที่มีขนาดใหญ่ มีรูปแบบการทำงานแบบขั้นบันได (Hierarchy) ไม่เอื้อต่อการสื่อสารและการทำงานที่รวดเร็ว อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ศูนย์กลาง ประกอบด้วยพนักงานหลากหลายเจเนอร์เรชั่น พนักงานมีงานประจำอยู่แล้ว หรือทีมยังยึดติดกับการทำงานแบบเก่า วัฒนธรรมองค์กรแบบเก่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือเปลี่ยนได้ช้า และพนักงานไม่เข้าใจหลักการทำงานแบบ Agile จะทำได้อย่างไร ทั้งยังมองว่าไกลตัวเกินไป
Virtual Agile ทางลัดสู่การสร้าง Innovation
Virtual Agile เป็นการจำลองทีมทำงานที่ประกอบไปด้วยบุคลากรจากหลายสายงาน เน้นการสื่อสารระหว่างบุคคลเพื่อความเข้าใจกันให้มากยิ่งขึ้น กระจายอำนาจการตัดสินใจ และเปลี่ยนวิธีการทำงาน จากการกำหนดเป้าหมายระยะยาวแบบมุ่งไปครั้งเดียว เป็นแบบระยะสั้นๆ หรือที่เรียกว่า สปรินท์ (Sprint) เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกวัน และแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Virtual Agile เป็นการทำงานโดยไม่จำเป็นต้องสร้างระบบการทำงานขึ้นมาใหม่ สามารถทำงานควบคู่ไปกับการทำงานแบบดั้งเดิม
ปัจจุบัน Virtual Agile ถือเป็นทางลัดช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถยืนหยัดอยู่รอดได้แม้ในยุค“ดิจิทัล ดิสรัปชัน” ด้วยจุดเด่นในเรื่องความคล่องตัวในการทำงาน แต่ส่งผลบวกในด้านอื่น ๆ ด้วย เหนือไปกว่านั้น Virtual Agile ยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพของงานหรือสินค้าและบริการให้สูงขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการในตลาดได้ดีกว่า อีกทั้งยังสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในตลาด ในด้านการทำงานของทีม Virtual Agile เป็นการทำงานแบบไร้กำแพงระหว่างฝ่าย ก่อให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จากการระดมสมองอย่างไม่มีขีดจำกัด ส่งผลให้สินค้าและบริการได้รับการพิจารณาและปรับปรุงจากทุกฝ่ายพร้อม ๆ กัน มีระบบความคิดที่รอบคอบ สามารถดึงจุดแข็งของธุรกิจดั้งเดิมออกมาตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค แบบไร้ข้อผิดพลาดหรือมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือ การร่วมงานอย่างใกล้ชิดและการสื่อสารที่ชัดเจน ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงานใน ทีมดีขึ้นอย่างชัดเจน Virtual Agile นับเป็นทางลัดที่จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างจุดแข็งเดิมของธุรกิจเดิมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้าง Innovation เพื่อโต้คลื่น “ดิจิทัล ดิสรัปชัน” และมรสุมเศรษฐกิจลูกแล้วลูกเล่าไปได้