บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ เซ็นทรัล รีเทล (CRC) เดินหน้าโรดโชว์แผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 1,860.1 ล้านหุ้น โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 40 – 43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม ประมาณไม่เกิน 74,404 – 79,984 ล้านบาท
ซึ่งดีลนี้นับเป็น IPO ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย รวมทั้งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกหลังจากปี 2550 เป็นต้นมา รวมทั้งหาก IPO เรียบร้อย มีโอกาสที่จะทำให้ CRC กลายเป็นบริษัท Top 15 Listed Company หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มี Market Cap สูงที่สุดใน 15 อันดับแรก ทันทีอีกด้วย
คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล (CRC) กล่าวเสริมว่า หุ้น CRC ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศรวม 11 ราย สนใจมาลงทุนเป็น Cornerstone Investors ของ CRC โดยมีมูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาทที่ราคาเสนอขายสูงสุด หรือกว่า 60% ของจำนวนหุ้น IPO ในครั้งนี้ และถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าตกลงจองซื้อก่อนโดย Cornerstone Investors สูงที่สุดในตลาดทุนไทยเท่าที่เคยมีมา (ไม่รวมจำนวนหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน หากมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น CRC ได้ในระหว่างวันที่ 29 – 31 มกราคม และ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
“มูลค่าเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC นับว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เคยมีมา และยังถือเป็นการเสนอขายหุ้น IPO ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าสูงที่สุดทั่วโลก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ที่สำคัญเมื่อ CRC เข้าสู่ IPO ยังเป็นการสร้างสีสันให้ตลาดหลักทรัพย์ไทย เพราะหลังจาก CRC เข้าตลาดได้สำเร็จจะมีส่วนช่วยให้มูลค่าของตลาดหลักทรัพย์ไทย เติบโตเพิ่มขึ้นได้ราว 1% ในทันทีอีกด้วย”
เป้าหมายระดมทุนขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าบริษัทราว 2.4 หมื่นล้านบาท หลังเม็ดเงินส่วนใหญ่ราว 3.4 หมื่นล้านนบาท จะถูกใช้สำหรับกระบวนการในการเพิกถอนหุ้นของโรบินสันออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ และบางส่วนจะใช้สำหรับการชำระหนี้ให้สถาบันการเงินต่างๆ โดยคาดว่าเม็ดเงินราว 1.5 หมื่นล้านบาท จะใช้เพื่อการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างเวียดนามและอิตาลี ให้เติบโตในอนาคต โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่ 60-70% เป็นการลงทุนในประเทศไทย โดยเม็ดเงินนี้ยังไม่นับรวมโอกาสจากการทำ M&A ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ CRC มีแผนในการลงทุนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ ด้วนการขยายธุรกิจทุกแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีแผนขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยเพิ่มราว 180 แห่งต่อปี รวมท้ังการรีโนเวทสาขาเดิมของแต่ละกลุ่มธุกิจที่มีอยู่ โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งมีแผนลงทุนศูนย์การค้า GO! เพิ่มเติม จนถึงสิ้นปีรวม 7 แห่ง รวมทั้งการรีโนเวทแบรนด์บิ๊กซี ในเวียดนาม มาเป็น GO! เบื้องต้น 2-3 แห่ง ก่อนที่จะทยอยเปลี่ยนสาขาเดิมที่มีอยู่ทั้ง 33 แห่ง ให้กลายมาเป็นแบรนด์ GO! ทั้งหมดในอนาคตต่อไป
โดยเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ในปี 2562 CRC มีร้านค้าปลีกในทุกรูปแบบในไทยรวม 1,992 ร้านค้า ทำให้มีสถานะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกในแพลตฟอร์มที่หลากหลายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ส่วนในเวียดนามบริษัทมีสาขาร้านค้าปลีก 133 แห่ง ธุรกิจกระจายอยู่ใน 37 จังหวัด จากกว่า 60 จังหวัดทั่วประเทศ และเป็นบริษัทธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ส่วนในอิตาลี มีห้างสรรพสินค้าจำนวน 9 แห่ง และถือเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิตาลีในปี 2561 ในแง่ของส่วนแบ่งการตลาด ตามรายงานของยูโรมอนิเตอร์
“ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2561 CRC มีรายได้รวม 206,575 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8.3% (พ.ศ. 2559 – พ.ศ. 2561) และมีกำไรสุทธิ 10,033 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 CRC มีรายได้รวม 159,506 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 6,298 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 4.1% จากรายได้รวมในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 5,860 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้ส่วนใหญ่ราว 75% มาจากประเทศไทย ตามมาด้วยเวียดนามที่ 18% และจากอีตาลี 7%”
6 กลยุทธ์ต่อยอดจุดแข็ง
การเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียน IPO ของ CRC ในครั้งนี้ นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการบริหารงานตลอดกว่า 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้จุดแข็งของธุรกิจที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ คือ
– Multi-category ซึ่งมีแบรนด์หลากหลายในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ทั้งแฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และกลุ่มธุรกิจอาหาร
– Multi-format หรือการมีแพลตฟอร์มธุรกิจหลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยเฉพาะการใช้จุดแข็งของ Physical Store เพื่อสร้างแต้มต่อให้ธุรกิจเพื่อช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนในแง่ของ Logistic Cost อย่างมีประสิทธิภาพ
– Multi-market การมีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมไปถึงบิ๊กซี/GO! เหงียนคิม ลานชีมาร์ท ในประเทศเวียดนาม และ รีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี
ด้านกลยุทธ์การดำเนินงาน CRC อาศัย 6 กลยุทธ์หลักในการเพิ่มขีดความสามารถและขยายธุรกิจของกลุ่ม CRC ประกอบด้วย
1. การต่อยอดความเป็นผู้นำผ่านการเติบโตด้วยตนเอง (Organic Growth) และการควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการ (Inorganic Growth) ในประเทศไทย
2. การใช้ประโยชน์จากธุรกิจบิ๊กซีเพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจของกลุ่ม CRC ในประเทศเวียดนาม พร้อมด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ชนบท
3. การใช้ประโยชน์จากรีนาเชนเตเพื่อผนึกกำลังทางธุรกิจและแสวงหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในประเทศอิตาลีและในทวีปยุโรป
4. การใช้แพลตฟอร์ม Omni-channel ซึ่งผสมผสานระหว่างจุดแข็งของการค้าปลีกผ่านทางออนไลน์และการค้าปลีกที่มีร้านค้าเป็นหลักเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการ มอบความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทลได้จากทุกสถานที่ทุกเวลา และสร้างประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าอย่างไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า
5. การใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
6. การแสวงหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง