นอกจากตัวเลขที่ประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล หรือสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข GDP ตัวเลขการส่งออก เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน หรือตัวเลขอื่นๆ แล้ว ที่ผ่านมายังมีการอ้างอิงหรืออนุมาน ด้วยการเทียบเคียงจากยอดขายของสินค้าบางกลุ่ม เพื่อเป็นภาพสะท้อนถึงการเติบโตหรือชะลอตัวของสภาพเศรษฐกิจได้ด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะการวัดจากการขยายตัว หรือหดตัวของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ว่ากันว่า ถ้ายอดขาย “มาม่า” แบรนด์ผู้นำตลาดของสินค้ากลุ่มนี้เติบโตได้ดี ก็เท่ากับว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นกำลังย่ำแย่นั่นเอง
แต่ในยุคปัจจุบัน นอกจาก “มาม่า” แล้ว ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในบางธุรกิจก็สามารถสะท้อนภาพของเศรษฐกิจไทยในขณะนั้นออกมาได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ ธุรกิจโรงรับจำนำ นั่นเอง
‘ทรัพย์หลุด’ ดัชนีชีวัดเศรษฐกิจตัวใหม่
คุณสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการโรงรับจำนำเอกชน ภายใต้ชื่อ “อีซี่มันนี่” อธิบายว่า ธุรกิจโรงรับจำนำสามารถเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดเศรษฐกิจไทยได้ โดยเฉพาะตัวเลข “ทรัพย์หลุด” หรือ สินทรัพย์ที่หลุดจำนำ ถ้าหากมีตัวเลขในระดับสูงก็สามารถสะท้อนถึงความซบเซาของเศรษฐกิจในปีนั้นๆ ได้ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีความสามารถในการหาเงินเพื่อมาไถ่ถอน หรือต่อดอกเบี้ยทรัพย์สินที่นำมาจำนำไว้กลับคืนไป
ขณะที่ตัวเลขทรัพย์หลุดของอีซี่มันนี่ในปี 2562 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและตัดปัจจัยความผันผวนของราคาทองออกไป จะมีระดับใกล้เคียงกันโดยลดลงเล็กน้อยที่ 0.1% เหลือ 4.9% จากเดิมมีสัดส่วนราว 5% จากจำนวนของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ลูกค้านำมาจำนำ หรือมีมูลค่าประมาณหลักร้อยล้านบาท และสามารถสะท้อนถึงเศรษฐกิจได้ว่าอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ได้อยู่ในจุดที่แย่มากเกินไปนัก เพราะหากภาวะเศรษฐกิจอยู่ในจุดตกต่ำ คาดว่าตัวเลขสัดส่วนทรัพย์หลุดจะทะลุไปสูงถึง 7%
นอกจากนี้ พฤติกรรมลูกค้าธุรกิจโรงรับจำนำก็สะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้เช่นกัน เนื่องจาก กลุ่มเป้าหมายหลักทั้ง 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าที่ต้องการเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งคนทั่วไป และพนักงานเงินเดือน ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 75% และอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นกลุ่มที่ต้องการนำเงินไปต่อยอดให้ธุรกิจ หรือกลุ่ม SME, Start up ซึ่งมีสัดส่วน 25%
“ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของการจำนำหรือไถ่ถอนของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่ม ก็สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ต่างกันด้วยเช่นกัน โดยลูกค้าทั่วไปท่ีมีความสามารถในการเก็บออมทรัพย์สินมีค่า เมื่อจำเป็นต้องใช้จ่ายก็จะนำทรัพย์สินที่เก็บไว้มาเปลี่ยนเป็นเงิน และเมื่อมีรายได้เข้ามาก็จะมาไถ่ถอนคืน หรือเก็บสะสมสินทรัพย์ต่างๆ ไว้เพิ่มเติม รวมทั้งจะมีฤดูกาลสำหรับการจำนำและไถ่ถอน โดยช่วงที่คนนิยมมาจำนำมากๆ จะเป็นช่วงใกล้เปิดเทอม ทำให้ต้องเพิ่มเงินสำรองไว้มากกว่าช่วงปกติ40-50% เลยทีเดียว ส่วนช่วงที่คนนิยมมาไถ่ถอนคืน คือช่วงเทศกาลหยุดยาว อย่างก่อนสงกรานต์ หรือก่อนปีใหม่ เพราะค่านิยมคนไทยที่มักจะกลับต่างจังหวัด จึงมักไปไถ่ถอนทองที่จำนำไว้มาใส่ก่อนกลับบ้าน ซึ่งถ้าเศรษฐกิจฝืดเคือง ตกงาน หรือไม่ได้โบนัส ตัวเลขการมาไถ่ถอนในช่วงนั้นก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน”
ส่วนการจำนำของผู้ประกอบการ เพื่อต้องการนำเงินไปลงทุน ต่อยอดธุรกิจ ขยายธุรกิจ สต็อกสินค้า หรือใช้เป็นเครื่องเสริมสภาพคล่องในช่วงที่รายรับรายจ่ายไม่สมดุลกัน การที่ลูกค้ากลุ่มนี้นำทรัพย์สินมาจำนำมากๆ จึงไม่ได้แปลว่า เศรษฐกิจไม่ดี แต่อยู่ในช่วงของการขยายการลงทุนเพิ่มเติม เป็นช่วงที่มีโอกาสในการค้าขายและเศรษฐกิจคึกคัก จึงต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจระยะสั้นเพิ่มขึ้น พอมีรายได้เข้ามาก็จะมาไถ่ถอนคืน ดังนั้น ธุรกิจโรงรับจำนำจึงเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นในระบบเศรษฐกิจ ที่ช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจขยายตัวได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน
เดินเข้าโรงจำนำ ไม่ต่างเดินเข้าธนาคาร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Perception ของคนไทยที่มีต่อโรงรับจำนำ อาจไม่ดีนัก ทำให้ที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องการเงินด่วน เงินไว แต่โรงรับจำนำก็ไม่ได้เป็นช้อยส์แรกๆ ที่ผู้บริโภคจะนึกถึง เนื่องจากภาพลักษณ์เดิมๆ ของโรงรับจำนำเองที่ดูแล้วไม่น่าเข้า การตกแต่งสถานที่ที่ดูทึบๆ มีลูกกรง มีม่านกั้น ทำให้คนไม่กล้าเข้าไปใช้บริการมากนัก
รวมทั้งทัศนคติเดิมๆ ที่มีคนมักจะคิดว่าคนที่เข้าโรงรับจำนำคือคนที่ “ถังแตก” หรือล้มเหลวทางการเงินจนต้องนำสินทรัพย์ไปขาย รวมทั้งกลัวว่าทรัพย์สินที่นำไปฝากไว้จะไม่ปลอดภัย เช่น กลัวทางโรงรับจำนำจะโกงด้วยการแอบตัดข้อทองบางส่วนไปขาย หรือทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากการเก็บรักษาไม่ดี เป็นต้น
สิ่งต่างๆ เหล่านี้กลายเป็น Barrier สำคัญ ที่ทำให้โรงรับจำนำยังไม่สามารถติดอันดับต้นๆ หรือเป็นหนึ่งใน Top 5, Top 10 ของคนที่ต้องการนำเงินไปใช้ในระยะสั้น ทั้งๆ ที่เมื่อเทียบกันแบบปัจจัยต่อปัจจัย โรงรับจำนำถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเงินด่วน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกเพราะจำนวนสาขาที่กระจายอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่อัตราดอกเบี้ยที่มีเพดานอยู่ที่ 1.25% ต่อเดือน หรือปีละ 15% ต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่อยู่ในระดับ 28% ค่อนข้างมาก รวมทั้งระยะเวลาที่จะได้เงินกลับไปอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ด้วยภาพเดิมๆ ที่คนมีต่อโรงรับจำนำ ทำให้คนยังไม่นิยมใช้บริการมากเท่าที่ควร
“อีซี่มันนี่ พยายามลบข้อจำกัดต่างๆ ที่คนไทยมีต่อโรงรับจำนำ ทั้งการตกแต่งสาขาให้ดูสวยงามน่าเข้า ยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว ง่าย และได้เงินชัวร์ รวมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือทั้งในการตีราคาและเก็บรักษาทรัพย์สินในห้องมั่นคงที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถระบุตัวตนของผู้จำนำได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคมีความสบายใจในการเข้ามาใช้บริการ และให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึงข้อดีของธุรกิจโรงรับจำนำในฐานะอีกหนึ่งสถาบันสินเชื่อทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ไม่ต่างกับการเดินเข้าไปใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ในสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพื่อให้ในอนาคตโรงรับจำนำจะกลายเป็นหนึ่งใน Top of Mind ที่เป็นทางเลือกต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเงินไว้สำหรับการใช้จ่ายในระยะสั้นๆ”
และต่อไปนี้คือ รายละเอียดที่น่าสนใจของธุรกิจโรงรับจำนำ และแนวทางการดำเนินงานของอีซี่มันนี่ เพื่อลบภาพที่เคยถูกมองเป็นผู้ร้ายในช่วงก่อนหน้า มาสู่การสร้างภาพจำใหม่ในฐานะสถาบันสินเชื่อทางเลือกของคนไทย และอีกหนึ่งน้ำมันหล่อลื่นให้กับระบบเศรษฐกิจไทย
– โรงรับจำนำ ทั่วประเทศมีกว่า 800 แห่ง โดยแบ่งเป็นสถานธนานุบาล 21 แห่ง สถานธนานุเคราะห์ ซึ่งดำเนินงานโดย กทม. 39 แห่ง ส่วนที่เหลือกว่า 700 แห่ง ดำเนินงานโดยเอกชน
– โรงรับจำนำเป็นทางเลือกที่น่าจะสะดวกที่สุดสำหรับคนที่มีทรัพย์สิน และต้องการเงินไปใช้จ่ายในช่วงสั้นๆ เพราะขั้นตอนในการพิจารณาต่างๆ ทำให้สามารถได้รับเงินในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างทองคำ ที่อีซี่มันนี่บอกว่า สามารถประเมินราคาและให้เงินได้ภายใน 3 นาที เร็วกว่ากระบวนการพิจารณาสินเชื่อเงินด่วนในตลาด ที่เร็วสุดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที รวมทั้งได้เงินชัวร์ เพราะมีสินทรัพย์ค้ำประกัน จึงไม่มีการปฏิเสธการจ่ายเงิน
– ข้อมูลจากอีซี่มันนี่ ในฐานะโรงรับจำนำเอกชนที่ใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนสาขากระจายไปกว่า 50 แห่ง ใน 5 ภูมิภาค 28 จังหวัดทั่วประเทศ และให้บริการลูกค้าหลายแสนรายในแต่ละปี ระบุถึงทรัพย์สินที่คนนิยมนำมาจำนำ คือ ทองคำ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70-80% ตามมาด้วย เพชร นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม และสินค้าไอที
– ความสะดวก และง่ายของโรงรับจำนำ ยังอยู่ที่การเปิดกว้างให้สามารถนำทรัพย์สินที่หลากหลายมาเปลี่ยนเป็นเงิน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับอย่างเพชร ทอง นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม อุปกรณ์ไอที พระเครื่อง สินค้าสะสมลิมิเต็ดเอดิชั่นต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดนตรี รวมทั้งยังมีสินค้าแปลกๆ ที่คนเริ่มนำมาจำนำ เช่น ถุงกอล์ฟหลุยส์วิตตอง หมีกุชชี่ เงินพดด้วง ธนบัตรที่ระลึก หวีทองคำ หรือเครื่องทองโบราณ ซึ่งสินค้าบางกลุ่มเหล่านี้เป็นสินค้าสะสม และเป็นของรักของเจ้าของ ซึ่งการเลือกที่จะมาฝากไว้กับทางโรงรับจำนำ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในการมาใช้บริการโรงรับจำนำของคนในปัจจุบัน
– โรงรับจำนำยังเป็นอีกหนึ่งกลไกในการรักษาสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กหรือพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการเงินไปขยายต่อยอดธุรกิจ แต่อาจจะยังไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ได้ ก็สามารถนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาเปลี่ยนเป็นเงินสำรองไปก่อนได้ ทำให้ไม่เสียโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโต โดยวงเงินเฉลี่ยสำหรับผู้จำนำจะอยู่ราวๆ 2 หมื่นบาท ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการจะนำมาหลายชิ้น ภายใต้วงเงินที่หลักแสนบาท
– ในส่วนของการตีราคาสินทรัพย์ที่นำมาจำนำนั้น จะประเมินจากสภาพสินทรัพย์ สภาพคล่องของสินทรัพย์นั้นๆ ในการเปลี่ยนเป็นเงินสดในตลาด ซึ่งถ้าสินค้าผ่านมาตรฐานการประเมินตามเกณฑ์ ก็สามารถได้ราคาสูงสุดถึง 80% ของราคาประเมินในตลาด และมีระยะเวลาในการรับจำนำ 4 เดือน 30 วัน หรือราว 5 เดือน นับจากวันที่นำมาจำนำไว้
– สำหรับทรัพย์หลุดจากโรงรับจำนำ แม้จะเป็นหนึ่งในตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้ แต่การเกิดทรัพย์หลุดต่างจากการเกิดหนี้เสีย เพราะสินทรัพย์ที่หลุดจำนำสามารถนำไปขายต่อได้ โดยทางอีซี่มันนี่จะนำทรัพย์หลุดจำนำขายผ่านสาขาที่มีอยู่ 50 แห่ง ผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัท รวมทั้งยังมีอีซี่มันนี่ ช็อป สำหรับเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้ามือสอง จำนวน 2 แห่ง ที่เซ็นทรัลพระราม 3 และเซ็นทรัล นครราชสีมา
– แม้จะเปิดกว้างให้กับสินทรัพย์ทั้งหลายในการนำมาจำนำได้ แต่ก็มีสิ่งที่ไม่สามารถนำมาจำนำได้เช่นกัน เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น ปืน รถยนต์ เป็นต้น ส่วนคนที่เริ่มใช้บริการโรงรับจำนำได้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีขึ้นไป
– ในส่วนแผนการขยายธุรกิจของอีซี่มันนี่นั้น ปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก 10 แห่ง เป็น 60 แห่ง กระจายให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ภายใต้การลงทุนต่อสาขาไม่ตำ่กว่า 40-50 ล้านบาท รวมทั้งตั้งการเติบโตของธุรกิจในแต่ละปีไว้ราว 20% ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจโรงรับจำนำ ซึ่งรวมทั้งบริการขายฝากทองตามร้านทองต่างๆ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในแต่ละปีราวแสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตในแต่ละปีประมาณ 10%
– สำหรับความท้าทายที่สุดของธุรกิจโรงรับจำนำก็คือ ความสามารถในการประเมินทรัพย์สินแต่ละชิ้น เพื่อให้ได้ของแท้ และของดีมีคุณภาพ ไม่ถูกย้อมแมวจากกลุ่มมิจฉาชีพ รวมท้ังการมีระบบตรวจสอบทรัพย์สินแต่ละชิ้นว่าไม่ใช่ของที่ถูกโจรกรรมมา โดยเฉพาะข้อสังเกตุหรือควรระวังที่คนเหล่านี้มักแฝงตัวมาในช่วงเวลาเร่งด่วน ช่วงที่มีคนเข้ามาใช้บริการมากๆ หรือพยายามกดดันด้วยการเร่งให้เจ้าหน้าที่ทำงานเร็วๆ ซึ่งทางอีซี่มันนี่ให้ความสำคัญกับการมีผู้เชี่ยวชาญประจำในแต่ละสาขาไม่ต่ำกว่า 2 คน หรือราวร้อยคนทั้งบริษัท จากจำนวนพนักงานโดยรวมกว่าหลายร้อยคนที่มีอยู่