ธุรกิจค้าปลีก 72 ปี ของตระกูลจิราธิวัฒน์ สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการนำ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) วันแรก (20 ก.พ.) ขึ้นแท่นเป็นหุ้นไอพีโอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเป็นหุ้นไอพีโอของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
โดย CRC มูลค่าเสนอขายรวม 78,124 ล้านบาท (รวมมูลค่าหุ้นที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 253,302 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ส่งผลให้ CRC เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งจะได้รับการจัดให้เข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ MSCI Global Standard Indexes ด้วยเกณฑ์ Fast-track
คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่าแม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เชื่อว่าในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ CRC จะผลักดันการเติบโตทั้งแบบ Organic ผ่านการขยายและปรับปรุงสาขาของแบรนด์ค้าปลีกในเครือทั้งในประเทศไทย รวมทั้งในประเทศเวียดนามและอิตาลี ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้าในทั้ง 3 ประเทศที่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมองโอกาสขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Inorganic หากมีโอกาสควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการ ที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีรวมทั้งปี 2563 CRC วางงบลงทุนไว้ราว 30,000-50,000 ล้านบาท
“ส่วนที่มีชื่อของเซ็นทรัล เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการ เทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ แต่การจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตของ CRC ในปีนี้”
แม้ภาพรวมธุรกิจปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ ทำให้หลายสถาบันคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 2% ปกติธุรกิจปลีกจะขยายตัวมากกว่าจีดีพี 1.5-2 เท่า ขณะที่ CRC ปีนี้วางเป้าหมายเติบโต 10-12%
ธุรกิจค้าปลีกของ CRC อยู่ภายใต้กลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel เป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกที่สามารถสร้างรายได้จากทุกที่ ทุกเวลา ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด เห็นได้จากแคมเปญปลายปีที่ผ่านมา ทั้ง 11.11 และ 12.12 mega sale ที่สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 2 เท่า ซึ่งช่องทาง Omni-Channel นับได้ว่ายังมีช่องว่างการเติบโต อีกมากในอนาคต
อย่างไรก็ตามหลังจาก CRC การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระกูลจิราธิวัฒน์ จะยังคงถือหุ้นใน CRC ด้วยสัดส่วนกว่า 70% (ในกรณีที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม