นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค ชำระค่าประมูลคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมย่าน 26 GHz ที่ประมูลชนะ 2 ใบอนุญาต จำนวน 974,128,001.07 บาท แก่ กสทช. จากการประมูลคลื่นความถี่
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ลูกค้าดีแทคได้รับประสบการณ์ใช้งานดาวน์โหลดที่ได้รับการยอมรับว่าเร็วที่สุดในไทย* การได้คลื่นความถี่สูงย่าน 26 GHz ทำให้ดีแทคมีชุดคลื่นความถี่ที่สมบูรณ์ทั้งย่านต่ำ-กลาง-สูง เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพบริการ และประสบการณ์ความเร็วสูงต่อไปในอนาคต”
ดีแทคมั่นใจที่จะเปิดบริการ 5G ในพื้นที่ที่กำหนดเปิดให้บริการในช่วงแรก คาดว่าจะเปิดให้บริการราวไตรมาส 2 ปี 2563 พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายปัจจุบันให้รับส่งข้อมูลดีขึ้นถึง 3 เท่า ดีแทคจะพัฒนาโครงข่ายปัจจุบัน ด้วยการเร่งขยาย Massive MIMO เทคโนโลยีความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ใช้งานหนาแน่นทั่วประเทศ และขยายโครงข่ายเพื่อให้บริการเพิ่มอีก 3,400 สถานีฐานสำหรับการใช้งาน 4G คลื่น 2300 MHz ที่ให้บริการบนคลื่นทีโอที
เกี่ยวกับคลื่น 26 GHz – คลื่น 26 GHz หรือ mmWave เป็นคลื่นความถี่สูงที่มีคุณสมบัติพิเศษ เหมาะสำหรับการใช้งานความเร็วสูงสุดเพื่อรับส่งข้อมูล และสามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งานในปริมาณมากพร้อมทั้งมีความแม่นยำในการใช้งาน เพื่อรองรับนวัตกรรม 5G ต่างๆ ในอนาคตได้อย่างแท้จริง โดยสามารถนำมาพัฒนาคอนเทนท์ร่วมกับการใช้ VR หรือ AR, การใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ใช้งานหนาแน่น เช่น คอนเสิร์ต รวมถึงออกแบบบริการ 5G เพื่อสาธารณสุขในที่ห่างไกล เป็นต้น
เกี่ยวกับ Massive MIMO technology – Massive MIMO คืออุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่าย 4G บนคลื่น 2300 MHz (บริการบนคลื่นทีโอที) ให้มีคุณภาพสูง พร้อมทั้งยังเพิ่มความสามารถ (Capacity) ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่นและบริเวณตึกสูงอย่างในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้งานข้อมูลในปริมาณมาก การนำเทคโนโลยี Massive MIMO มาใช้นับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมไทย เพื่อรองรับการใช้งานยุคอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสู่ 5G สำหรับลูกค้าทุกคน
คลิก Open Signal* รายงานเดือนพฤศจิกายน 2562 การจัดอันดับผู้ให้บริการมือถือในประเทศไทย (Thailand: Mobile Network Experience Report November 2019)