ช่วงปีที่ผ่านมา ต้องถือได้ว่าแบรนด์ที่ทำธุรกิจมาเกือบร้อยปีอย่าง “ตะขาบ 5 ตัว” มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความพยายาม Connect กับกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์หลักอย่างยาอมสมุนไพรแผนโบราณตราตะขาบ 5 ตัว แบบที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังเห็นการทำ Collaboration กับแบรนด์ดังที่อยู่นอกธุรกิจยาสมุนไพรอย่าง เกรย์ฮาวด์ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ระดับประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโซเชียลในช่วงเวลานั้น
แม้ว่าผลของการทำ Collaborate ในครั้งนั้น อาจไม่ได้สร้างยอดขายหวือหวา แต่ในเชิงแบรนดิ้งต้องถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ที่โอกาสของแบรนด์เก่าแก่ รวมทั้งยังอยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่มอย่าง “ตะขาบ 5 ตัว” จะเข้าไปสร้าง Engage กับคนกลุ่มนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก แต่จากโปรเจ็กต์ดังกล่าว ทำให้สามารถขยายการรับรู้แบรนด์ไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากขึ้น
ซึ่งทางตะขาบ 5 ตัว ยังมีโปรเจ็กต์ Brand Collaboration ระลอกใหม่ ตามมาในปีนี้ พร้อมทั้งวางเป้าหมายที่ใหญ่และท้าทายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการขยับจากการเล่นใน Niche Market ไปสู่ Global Market อีกด้วย
ทำไมต้องเป็น “ตะขาบ 5 ตัว”
คุณสุเทพ สิมะวรา ประธานกรรมการ บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตยาสมุนไพรแผนโบราณมายาวนานกว่า 85 ปี ตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมาจนถึงปัจจุบัน เล่าถึงความเป็นมาของแบรนด์ที่เกิดจากคุณพ่อซึ่งเป็นชาวจีนชื่อ จุ้ยไซ ทำงานเป็นผู้ช่วยปรุงยาในร้านหมอจีน ทำให้มีความรู้ในเรื่องของยาสมุนไพรเป็นอย่างดี จนกระทั่งได้ย้ายถิ่นฐานมายังประเทศไทย ทำงานทั้งรับจ้างแบกหาม และเวลาว่างก็คิดสูตรยาสมุนไพรไปฝากขายตามร้านขายยาต่างๆ เพื่อหารายได้เสริมเลี้ยงดูครอบครัว และจากสรรพคุณของยาสมุนไพรที่ช่วยการรักษาได้เป็นอย่างดี ทำให้แบรนด์ที่ซินแสจุ้ยไซคิดขึ้นเองอย่าง “ตะขาบ 5 ตัว” ได้รับการยอมรับจากลูกค้า จนราวปี 2478 ก็สามารถเปิดร้านขายยาสำเร็จรูปเป็นของตัวเองได้
คุณสุเทพ เล่าถึงที่มาของแบรนด์ว่า สาเหตุที่ใช้ชื่อตะขาบ 5 ตัว เนื่องมาจาก ความเชื่อของคนจีนในยุคก่อนหน้า ที่เชื่อว่าพิษของสัตว์มีพิษต่างๆ จะมีสรรพคุณในการล้างพิษต่างๆ ออกไปได้ จึงเลือกใช้ตะขาบเป็นสัญลักษณ์ แต่ยืนยันว่ายาสมุนไพรนี้ไม่ได้มีส่วนผสมใดๆ ของตะขาบอย่างที่หลายๆ คนสงสัยและถามกันเข้ามากันอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนเลข 5 ถือเป็นเลขมงคลของชาวจีน สังเกตได้จาก แบรนด์สินค้าหลายๆ อย่างในอดีตที่มักจะใช้จำนวน 5 ตัวเช่นกัน ที่ได้ยินกันบ่อยๆ เช่น 5 เจดีย์, 5 มังกร ทำให้เลือกใช้ 5 ตะขาบ รวมทั้งอาจจะเป็นความผูกพันของซินแสที่มีกับเลข 5 ด้วย เนื่องจากซินแส มีภรรยา 5 คน ซึ่งร่วมกันช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัวจนเติบโต ขณะที่ลูกจำนวน 10 คนที่มีอยู่ ก็แบ่งเป็นผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 5 คน เห็นได้ว่าหลายๆ อย่างในชีวิตของซินแสล้วนเกี่ยวพันกับเลข 5 ทั้งสิ้น
ขณะที่การส่งต่อธุรกิจมาสู่รุ่นลูก หลังจากซินแสเสียชีวิต ทายาทในรุ่นต่อมา นำโดยลูกชายทั้ง คุณสุเทพ- คุณสุนทร สิมะวรา ได้เข้ามาเป็นกำลังสำคัญช่วยดูแลกิจการต่อในช่วงปี 2515 และตัดสินใจเปลี่ยนจากร้านขายยามาเป็นการตั้งบริษัทเพื่อผลิตยาอย่างเดียว ซึ่งในช่วงเริ่มต้นค่อนข้างยากลำบากอย่างมาก โดยเฉพาะการหาทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตยาแทนระบบเดิมที่ใช้แรงงานคนในการผลิต เพราะรายได้ในช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่ได้มากมายนัก เครดิตในการกู้เงินธนาคารเพื่อมาลงทุนก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ในที่สุดผู้นำในรุ่นที่สองก็สามารถฝ่าฟันจนตั้งโรงงานได้สำเร็จ
“ในส่วนของโปรดักต์ เราได้ยินหลายๆ เสียงพูดถึงรสชาติยาอม 5 ตะขาบ ที่ขาดสิ่งหลักๆ ที่ยาอมทั้งหลายควรมีไม่ว่าจะเป็นความหวาน หอม และเย็น ซึ่งเราเคยทดลองปรับสูตรเพื่อให้ได้ยาอมตามคำแนะนำ แต่กลับทำให้สรรพคุณทางยาลดลง เราจึงเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสูตรทางยาอีกต่อไป แต่อาจมีการปรับแพกเกจ ให้ทันสมัยมากขึ้นทั้งแบบซอง และแบบกล่อง โดยภาพที่อยู่บนแพกเกจสูตรดั้งเดิมก็คือ ภาพของซินแสจุ้ยไซ ผู้ก่อตั้ง รวมทั้งได้เพิ่ม 3 รสชาติใหม่ เป็นทางเลือกที่มากขึ้น และเหมาะกับคนรุ่นใหม่ ได้แก่ รสบ๊วย มินท์ และตะไคร้ ที่พัฒนาเพิ่มเติมในเวลาต่อมา”
เมื่อโปรดักต์แข็งแรง ก็สร้างโอกาสได้ไม่จำกัด
เมื่อตัดสินใจคงสูตรยาไว้ตามต้นตำรับ คุณสุเทพจึงเลือกที่จะใช้วิธีทางการตลาดเพื่อผลักดันยอดขาย เพราะมั่นใจในเรื่องสรรพคุณที่ดีของสินค้า และเชื่อว่าเพียงแค่ลูกค้ามีโอกาสทดลองอมยาอมให้หมดเม็ดเพียงครั้งเดียวก็จะรู้สึกชื่นชอบได้อย่างแน่นนอน วิธีการสำคัญในการทำตลาดยาอมสมุนไพรแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว จึงใช้วิธีการแจกให้ลูกค้าได้ทดลองเป็นหลัก โดยคุณสุเทพจะนำยาอมสมุนไพรนี้ติดตัวไปแจกในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส ซึ่งผลตอบรับก็เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้เป็นลำดับ
โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสได้ไปเมืองจีน ก็ไม่ลืมที่จะนำยาไปแจกให้กับผู้ที่มีโอกาสได้พบเจอ ทำให้เริ่มได้ฐานลูกค้าชาวจีนเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ขณะที่ตลาดในประเทศก็สามารถนำยาอมสมุนไพรตราตะขาบ 5 ตัว วางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดทุกรายได้สำเร็จ ทำให้ยอดขายเริ่มเติบโตชึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะช่องทางที่เข้าถึงนักท่องเที่ยวอย่างคิงเพาเวอร์ ทำให้ยาอมตะขาบ 5 ตัวนี้ กลายเป็นหนึ่งในสินค้า Wish List ของนักท่องเที่ยวจีน ที่เวลาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วต้องซื้อกลับไป ช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วง 2 ปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และทำให้ตลาดเริ่มขยายทั้งในไทยและต่างประเทศ จนยอดขายในปัจจุบันเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 500 ล้านบาท
ด้าน คุณเมธา สิมะวรา ทายาทรุ่น 3 ที่เข้ามาดูแลมาตรฐานและกระบวนการผลิต รวมทั้งการต่อยอดพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ ให้กับตะขาบ 5 ตัว เล่าถึงโอกาสในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ยาอมสมุนไพรแผนโบราณเติบโตไปสู่การเป็น Global Brand ในอนาคต ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในมิติของการขยายตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยาอมแก้ไอตะขาบ 5 ตัว ได้วางจำหน่ายในอาเซียนครบทั้ง 10 ประเทศ รวมทั้งในฮ่องกง มาเก๊า และสหรัฐอเมริกา และกำลังขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการโฟกัสเรื่องของมาตรฐานการผลิต ที่จะต้องได้รับการยอมรับตามมาตรฐานโลก ซึ่งตะขาบ 5 ตัว ผลิตได้ตามมาตรฐาน GMP และจะยกระดับไปสู่มาตรฐานตามที่ ISO กำหนดไว้ รวมไปถึงการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายมากขึ้น
“การที่เรามี Core Product เพียงอย่างเดียว ที่ทำยอดขายหลักกว่า 90% เป็นทั้งความเสี่ยง รวมทั้งเวลานำสินค้าไปวางขายบนเชลฟ์ในโมเดิร์นเทรดต่างๆ ก็จะมีพื้นที่โชว์สินค้า โชว์แบรนด์ได้น้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ 5 ตะขาบ เริ่มเพิ่มสินค้าใหม่ๆ โดยที่ทำไปแล้ว คือ การเพิ่ม 3 รสชาติใหม่ อย่างบ๊วย มินท์ ตะไคร้ ในกลุ่มยาอมสมุนไพร และเตรียมเปิดตัวยาสมุนไพรในรูปแบบของสเปรย์แก้ไอ โดยมีแผนส่งสินค้ามาทำตลาดภายในไตรมาสแรกนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีสินค้าใน Pipeline อีก 2-3 ชนิด ทั้งลูกอมสมุไพรในรูปแบบซอฟต์เจล รวมทั้งยังเตรียมพัฒนายาน้ำที่ไม่ได้มาในแพกเกจแบบขวดเหมือนยาแก้ไอทั่วไป แต่จะเลือกใช้แพกเกจแบบซองที่มีฝาปิดเหมือนกับที่กลุ่มเครื่องสำอางนิยมใช้ เพื่อให้ง่ายสำหรับการพกพา รวมทั้งมีน้ำหนักเบา ซึ่งสะดวกในการขนส่งอีกด้วย”
คุณเมธา อธิบายถึงแนวทางในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของยาสมุนไพรแผนโบราณ 5 ตะขาบ ที่จากนี้จะทำได้ในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีสกัดทำให้ได้สูตรสมุนไพรในรูปแบบผง ที่สามารถต่อยอดเป็นวัตถุดิบในโปรดักต์ต่างๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโปรดักต์ในรูปแบบการทำ Brand Collaboration กับบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำระดับประเทศรายหนึ่ง ในการพัฒนาโปรเจ็กต์ความร่วมมือสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรที่คาดว่าเตรียมเปิดตัวออกมาทำตลาดในเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกัน
เตรียมขึ้นแท่น Billionaire Company
แม้ปัจจุบันตลาดหลักอย่างประเทศจีน กำลังประสบปัญหา ทำให้ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าชาวจีนหายไปราว 20% แต่ทาง 5 ตะขาบ เชื่อมั่นว่าจะใช้เวลาไม่นานยอดขายก็จะกลับเป็นปกติ รวมทั้งบริษัทมีแผนขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่มเติมทั้งในรัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ ประกอบกับยอดขายหลักราว 70-80% มาจากในประเทศที่ยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้อย่างแข็งแรง และมีโอกาสจากการขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ รวมทั้งการต่อยอดในเชิงแบรนดิ้งเพื่อขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้บริษัทเติบโตในอนาคต
“ในส่วนของการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายกำลังผลิตรองรับการเติบโต ยังเป็นแผนในระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันสามารถผลิตได้ที่ 3 แสนซองต่อวัน และยังสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อีกไม่ต่ำกว่า 20-30% ทำให้รองรับยอดขายที่เติบโตได้จนแตะระดับพันล้านบาท เนื่องจากในการพัฒนาสินค้าใหม่ สามารถใช้วัตถุดิบที่ได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีสกัด เพื่อนำไปจ้างผลิตในช่วงเริ่มต้นทดลองการตอบรับจากตลาด ทำให้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเครื่องจักรในเร็วๆ นี้ รวมทั้งโอกาสที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกไปได้ในหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจเติบโตได้มากกว่าแค่ในกลุ่มธุรกิจยาเพียงอย่างเดียว โดยเชื่อว่าภายในไม่เกิน 5 ปีนี้ มีโอกาสที่บริษัทจะทำยอดขายได้ถึงระดับพันล้านบาทอย่างแน่นอน”
สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของ 5 ตะขาบ สืบทอดมาจนถึงทศวรรษที่ 9 ขยับเข้าใกล้ทำเนียบธุรกิจแบรนด์ร้อยปีเข้ามาเรื่อยๆ ก็คือ การมีวัฒนธรรมที่แข็งแรง เพื่อรักษาความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวของครอบครัว เช่นเดียวกับธุรกิจกงสีทั่วไปที่ต้องดูแลความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้องทุกคนภายในครอบครัว โดยเฉพาะการมีกฏที่ระบุไว้ในธรรมนูญครอบครัว เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทั้งภายในครอบครัวและธุรกิจให้แข็งแรงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่ง 5 ตะขาบ จะดูแลทั้งสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงการดูแลพนักงานเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโต และสามารถรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้กับองค์กร โดยที่ 5 ตะขาบนั้น พนักงานเก่าแก่บางคนอยู่มานานถึง 45 ปีเลยทีเดียว
“ห้าตะขาบเป็นธุรกิจครอบครัวใหญ่ หัวใจหลักที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงคือ การรู้คุณค่าในสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ มรดกที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่สูตรยา แต่ยังมีสิ่งที่ถ่ายทอดให้ลูกหลาน คือคุณธรรมความซื่อตรงต่อลูกค้า รวมทั้งการสร้างความรักสามัคคีในครอบครัวและองค์กร ทำให้สามารถผ่านพ้นทุกๆ ปัญหาที่เข้ามา ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาต่อยอด เพื่อให้มีสินค้ารองรับไลฟ์กับสไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าแค่การเป็นยาเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต”
Photo Credit : Facebook TAKABB, เว็บไซต์ Takabb.com