กลับมานั่งคุมทัพในฟากธุรกิจอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นภารกิจช่วยชาติในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระนาน 3 ปี ตั้งแต่ช่วง 2557-2560 ซึ่งในช่วงคาบเกี่ยวหลังจากพ้นวาระทางการเมือง คุณน้อง กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูล ก็ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด มาโดยตลอดไม่ต่ำกว่า 2 ปีแล้ว
จนช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คุณน้อง กอบกาญจน์ ก็ได้กลับเข้ามากุมบังเหียนในฐานะแม่ทัพหญิง ด้วยการดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร โตชิบา ไทยแลนด์ อย่างเป็นทางการ ในโอกาสที่ธุรกิจกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 51 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นทศวรรษที่ 6 ของธุรกิจ นับตั้งแต่เริ่มบุกเบิกตั้งโรงงานผลิตของตัวเองในประเทศไทยเมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ให้เวลา 3 ปี ขยับตำแหน่ง Top 3
ความมุ่งมั่นในการ Comeback ของคุณน้องในครั้งนี้ มาพร้อมเป้าหมายผลักดัน Toshiba Thailand กลับไปยึดตำแหน่งผู้นำ Top 3 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมภายใน 3 ปี นับจากนี้ จากปัจจุบันโตชิบาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในบางตลาด แต่ภาพรวมในแง่ตัวเลขยอดขายจากทั้งตลาดอยู่ใน Ranking ราวๆ ลำดับที่ 7 โดยมูลค่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่ม Major Appliance (ตู้เย็น แอร์ เครื่องซักผ้า) มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในกลุ่ม Small Appliance ก็มีการเติบโตจากสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
“แม้หลายๆ คนมองธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในฟากของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก แต่เชื่อมั่นว่าธุรกิจยังแข็งแรง เพราะการขายจากฝั่งออนไลน์ไม่สามารถที่จะมาทดแทนยอดขายจากดีลเลอร์ที่ยังเป็น Main Channel ทำยอดขายให้โตชิบาได้ถึง 40% เทียบเท่ากับยอดขายผ่านโมเดิร์นเทรด ขณะที่ดีลเลอร์เองก็มีการปรับตัว มีการเรียนรู้นำออนไลน์มาเชื่อมโยงกับการขายออฟไลน์เช่นกัน แม้จะต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบ ก็เชื่อว่าจะผ่านพ้นไปได้ เหมือนพระอาทิตย์ที่ถึงแม้จะตกไปอย่างไร สุดท้ายเมื่อวันใหม่มาถึงพระอาทิตย์ก็ต้องขึ้นใหม่อีกครั้งเช่นกัน ดังนั้น ด้วยความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ความเชื่อมั่นที่มีต่อผลิตภัณฑ์ เชื่อมั่นต่อเครือข่ายการขายและบริการที่แข็งแรง รวมทั้งความเตรียมพร้อมและปรับตัวอยู่เสมอ แม้เราจะอายุ 50 ปีแล้ว แต่ยังกระตือรือร้น และมีพลังในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าเหมือนอายุ 15 ยังมีไฟที่จะพุ่งไปข้างหน้า มีความเป็น Young@Heart และเชื่อว่าสุดท้ายเราจะผ่านไปได้อย่างแน่นอน”
ในส่วนการการเติบโตของโตชิบานั้น ยังคงมีปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโต โดยเฉพาะความใส่ใจและยอมลงทุนกับเรื่องของการดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นแกนสำคัญในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อเข้ามาทำตลาดต่อจากนี้ รวมทั้งความแข็งแกร่งของโตชิบาที่มีโรงงานผลิตของตัวเอง ทำให้สามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดประเทศไทย รวมทั้งความโดดเด่นในการดีไซน์สินค้า และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ของผลิตภัณฑ์ ที่มีความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคปัจจุบัน ทำให้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โตชิบาเติบโตเฉลี่ยได้ราวปีละ 10% ขณะที่สิ้นปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 15%
สำหรับยอดขายในปี 2562 ที่ผ่านมา เติบโตได้ 6% จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ 27 รุ่น ขณะที่ปีนี้มีแผนส่งสินค้าใหม่ทำตลาดเพิ่มเป็น 38 รุ่น รวมทั้งเพิ่มสินค้าในหมวดใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่มีโอกาสในการเติบโตในสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น เครื่องกรองอากาศ เครื่องกรองน้ำ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเชื่อว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญอย่างมาก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโต
ขณะที่งบในการทำตลาดปีนี้วางไว้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 10% ทั้งสำหรับทำตลาด ส่งเสริมการขาย การสร้างแบรนด์ เพื่อสื่อสารคีย์แมสเสจ #Details Matter สะท้อนถึงการใส่ใจรายละเอียด ทั้งการคิดค้นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆ โดยผสมผสานเทคโนโลยีร่วมกับความห่วงใยผู้คน รวมทั้งการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อดูแลพาร์ทเนอร์และลูกค้า และการตอบแทนสังคม รวมทั้งมีแผนพัฒนาแพลทฟอร์มต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้การทำงานบริการ ระบบโลจิสติกส์ และระบบการขายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เส้นทาง 5 ทศวรรษ โตชิบา ไทยแลนด์
คุณกอบกาญจน์ อธิบายถึงเส้นทางความแข็งแกร่งของโตชิบา ไทยแลนด์ ตลอด 50 ปี มาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการมีวิสัยทัศน์ตั้งแต่รุ่นบุกเบิก ที่พยายามผลักดันให้ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยได้สำเร็จเพื่อผลิตรองรับตลาดในประเทศ จนเมื่อราว 30 ปีที่ผ่านมา ก็สามารถขยายศักยภาพการผลิตของโรงงานจนกลายเป็น Production Hub ในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างๆ ได้ด้วย ทั้งการส่งกลับไปทำตลาดที่บริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น หรือในตลาดอาเซียน เป็นต้น
ส่วนการเติบโตที่ผ่านมานั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ธุรกิจต้องเผชิญในแต่ละปี แต่จุดแข็งของโตชิบาที่ทำให้สามารถผ่านแต่ละวิกฤตที่ผ่านมาได้ ส่วนหนึ่งมาจากความแข็งแรงของดีลเลอร์ ทำให้เราต่างจากประเทศอื่นๆ จากการมีช่องทางในการทำตลาดที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ทั้งโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ รวมทั้งจากงานโปรเจ็กต์ ตลาดส่งออก รวมทั้งออนไลน์ ซึ่งพยายามที่จะโฟกัสให้เติบโตได้ทุกๆ ชาแนล โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมั่นให้กับกลุ่มดีลเลอร์ในเจนใหม่ๆ ที่มารับธุรกิจต่อจากรุ่นพ่อแม่
ประกอบกับการมีโรงงานของตัวเอง ทำให้สามารถปรับการผลิตสินค้าให้เข้ากับควาต้องการของผู้บริโภคในตลาดประเทศไทยได้โดยเฉพาะ เช่น การรักษาขนาดของตลาดตู้เย็นหนึ่งประตูไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ทิศทางตลาดจะเริ่มขยับไปในกลุ่มสินค้าที่มีความพรีเมียมมากขึ้น แต่ด้วยความเข้าใจตลาดโลคัล เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าคนไทย ความต้องการตู้เย็นที่สอดคล้องกับลักษณะในการใช้งานของคนไทย ทำให้โตชิบาแข็งแกร่งในตลาดนี้อย่างมากด้วยส่วนแบ่งถึง 90% และยังคงรักษาตลาดไว้ได้ แต่หากเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้า หากโรงงานต้นทางเลิกผลิต ก็อาจทำให้ต้องสูญเสียตลาดนี้ไปได้
“รวมทั้งเจตนารมย์ในการทำธุรกิจของโตชิบาว่า “นำส่ิงที่ดีสู่ชีวิต” ทำให้ส่งมอบสินค้าที่ตรงโจทย์ตลาด และที่สำคัญคือการมมีบุคลากรที่เป็นหนึ่งเดียวกับองค์กร รักในสิ่งที่ทำอยู่ และมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน”
ไม่หวน “การเมือง” ทำธุรกิจก็ช่วยชาติได้
เมื่อถามคุณกอบกาญจน์ ว่าได้นำความรู้หรือประสบการณ์จากการทำงานทางการเมืองมาปรับใช้ในการกลับมาขับเคลื่อนธุรกิจในครั้งนี้บ้างหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ
“หลังได้ไปทำงานในจุดนั้น เราก็ได้เห็นได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องกีฬา ที่เรามีโอกาสไปทำโครงการกีฬาต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง และรู้ว่าเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งเราก็นำมาสานต่อด้วยการจัดงานวิ่งเพื่อสังคม Toshiba Run ใน 4 จังหวัด เพื่อเชิญชวนให้คนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น พร้อมทั้งระดมเงินบริจาคให้โรงพยาบาลท้องถิ่นในจังหวัดที่จัดงานได้กว่า 2.9 ล้านบาท และยังสานต่อมาสู่ในปีนี้ในพื้นที่ใหม่ๆ ส่วนการท่องเที่ยวก็เป็นเทรนด์ทีคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเช่นกัน ถ้าหากไปสำรวจคนรุ่นใหม่จะพบว่า เลือกที่จะไปใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวมากกว่าการเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านซื้อรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาอยู่แล้ว ก็ทำต่อเนื่องไป โดยเฉพาะการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกับกลุ่มดีลเลอร์ด้วยการจัดทริปไทยเที่ยวไทยกับกลุ่มดีลเลอร์แบบใกล้ชิดได้มากยิ่งขึ้น”
ส่วนคำถามส่งท้าย ต้อนรับการกลับมาของแม่ทัพหญิงเล็กในครั้งนี้ว่า หากในอนาคตมีออฟเฟอร์ครั้งใหม่เกี่ยวกับเส้นทางการเมืองเข้ามาอีกคร้ังจะตัดสินใจอย่างไร คุณกอบกาญจน์ ตอบอย่างหนักแน่นว่า
“คงไม่ไปแล้ว เพราะการที่เราตัดสินใจไปครั้งที่แล้ว เรามีความมุ่งมั่นที่ต้องการอยากจะช่วยชาติ แม้ตอนแรกจะยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปเสริมในจุดไหนอย่างไร แต่เรามีความตั้งใจ เราคลีน เรารู้ตัวเอง และไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ แอบแฝง จึงไม่ต้องไปคอยเอาใจใคร และเมื่อได้เข้าไปทำงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ทำให้ได้ใช้ความรู้ทางธุรกิจไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากส่ิงที่เรากำลังขับเคลื่อนอยู่ในปัจจุบันนี้เช่นกัน และถือเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้โดยเร็วที่สุด แม้ว่าเราจะอยู่ในใจุดนี้เราก็มีส่วนช่วยชาติ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติได้ไม่ต่างกัน”