สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา (Covid-19) ในประเทศไทย ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น ทำให้ภาครัฐต้องออกมาตรการคุมเข้มล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2563 “ปิดสถานที่เสี่ยง” รวมทั้ง “ปิดห้าง” บางส่วน ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและในหลายจังหวัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้ได้เร็วที่สุด
คุณวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม การจัดจำหน่ายและผลิตสินค้า ได้ส่งหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนมาตรการรับมือกับวิกฤติการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกครั้งรุนแรง
ปัจจุบันรัฐบาล กรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัด ได้ออกมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่ยังมีหลายคนในประเทศที่ยังไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ อีกทั้งยังปรากฎประชาชนจำนวนมากที่เดินทางกลับต่างจังหวัดหลังจากที่กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศปิดสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศได้มากขึ้น
“ผมขอสนับสนุนให้มีมาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ ที่ทางรัฐบาลจะกำหนดเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยจะยุติการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ขอให้รัฐบาลประกาศอย่างชัดเจนที่จะให้คนไทยอยู่ที่บ้านและจำกัดการเดินทางเพื่อประโยชน์ของประเทศ รวมถึงมาตรการอื่นใดที่รัฐบาลจะดำเนินการ ประเทศอื่นๆ ได้ดำเนินการห้ามไม่ให้มีการรวมตัวกันมากกว่า 20 หรือ 30 คน ซึ่งเป็นมาตรการที่พิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพ การประกาศให้อยู่ที่บ้าน การจำกัดการเดินทางส่วนบุคคล และการหลีกเลี่ยงการพบปะกัน จะเป็นมาตรการที่ช่วยให้เราแก้ปัญหาวิกฤตการณ์นี้ได้”
ในส่วนของกลุ่มบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เชื่อว่ายังมีความเสี่ยงสูงต่อลูกค้าของทางโรงแรม พนักงาน และสาธารณชน แม้ว่าจะได้ดำเนินการตามมาตรการของทางรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดต่อได้ง่ายและยังไม่มีระบบการตรวจสอบการติดต่อเชื้อที่เพียงพอในปัจจุบันเพื่อยุติการแพร่กระจายของเชื้อ เพราะฉะนั้นทางไมเนอร์กำลังปิดโรงแรมในกรุงเทพฯ โดยกำลังพิจารณามาตรการเดียวกันนี้กับโรงแรมในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ ในประเทศ
ปัจจุบันไมเนอร์มีมาตรการเข้มงวดให้พนักงานอยู่ที่บ้านและจำกัดการเดินทาง รวมถึงขอความร่วมมือการจำกัดการทำกิจกรรมนอกบ้าน เชื่อว่ามาตรการที่เข้มแข็งในระยะเวลาช่วงสั้นๆ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการจ้างงานและผลกระทบต่างๆ ในวงกว้าง สถานการณ์นี้เป็นวิกฤติการณ์ทางด้านสุขภาพและด้านการแพทย์ และได้ดำเนินการตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพแนะนำ แม้ว่าจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในช่วงระยะเวลาอันสั้นต่อธุรกิจ
“ผมเชื่อว่าภาคเอกชนอื่นๆ ให้การสนับสนุนและมีมาตรการที่คล้ายกัน และเต็มใจที่จะยอมรับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาอันสั้น เพื่อที่จะฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์นี้ได้ดีที่สุด เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเพื่อรักษาความอยู่รอดของพนักงาน พวกเรากำลังทำดำเนินการเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของพนักงานของเราที่มีมากกว่า 37,000 คน ในประเทศไทยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย”
จากการจัดอันดับของ Forbes คุณวิลเลี่ยม คือ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 22 ของประเทศไทย นับว่าเขาคือมหาเศรษฐีคนแรกที่เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ธุรกิจของตัวเขาเองจะต้อง “เสียหาย” ไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้ผู้บริโภคโดยทั่วไป จะคุ้นเคยกับ “ธุรกิจอาหาร” อันประกอบด้วย Pizza Company, Swensen, Sizzler มากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว เครือ Minor มีรายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศรวมกันมากกว่ารายได้จากอาหารซะอีก การที่ไมเนอร์ฯ ประกาศว่า “กำลังปิดโรงแรมในกรุงเทพฯ” นี่คือสิ่งที่หัวเรือใหญ่ฟันธงมาแล้วว่า “เอาจริง” เจ็บแต่จบ…
และนี่คือเนื้อหาในจดหมายที่คุณวิลเลี่ยม ส่งถึงนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารระดับสูงของประเทศทั้งหลาย