ปีที่ผ่านมา เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในกลุ่มเมืองรองด้วยกัน ขณะที่ตัวเลข GDP ก็เติบโตต่อเนื่องมา 5 ปีติดต่อกันแล้ว โดยตัวเลข GDP เพิ่มสูงขึ้นถึง 30% ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวก็ขยับเพิ่มจาก 3.6 ล้านคน ในปี 2561 มาเป็นราว 4 ล้านคน ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าสิ้นปีนี้นักท่องเที่ยวจะทะลุ 4.5 ล้านคน ทำให้โอกาสที่เชียงรายจะบรรลุเป้าหมายในการยกระดับจากเมืองท่องเที่ยวในกลุ่ม “เมืองรอง” ขึ้นเป็น “เมืองหลัก” ได้เป็นผลสำเร็จ
ต้นแบบโมเดล Social Enterprise
เครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเชียงรายนั้นมาจากธุรกิจท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะบทบาทของภาคเอกชนที่เป็นกำลังหลักในการผลักดันการเติบโตให้กับจังหวัด ด้วยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น Man Made มาเป็นจุดขายเพิ่มเติม นอกเหนือจากการมีธรรมชาติที่สวยงาม และอากาศที่ดีเป็นต้นทุนสำคัญอยู่แล้ว ทำให้จังหวัดเชียงรายมีแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำหลากหลายไม่ว่าจะเป็น วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ภูชีฟ้า พระตำหนักดอยตุง ไร่ชาฉุยฟง รวมทั้งสิงห์ปาร์ค เชียงราย อีกหนึ่ง Destination สำคัญที่ร่วมขับเคลื่อนการเติบโตให้กับจังหวัดเชียงรายมากว่า 9 ปีแล้ว
พื้นที่ราว 8 พันไร่ ที่เต็มไปด้วยพืชไร่ ดอกไม้ ผลไม้ นานาชนิด จึงทำให้สิงห์ปาร์ค ถูกปักหมุดเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของเชียงราย และด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Social Enterprise ที่ให้ความสำคัญทั้งการสร้างกำไรให้ธุรกิจ ควบคู่ไปกับการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนฺ ผ่านการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านและเกษตรกรโดยรอบที่ว่างในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้เกิดการเติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถฟาร์มทัวร์ หรือการเล่น Zip Line สำหรับสาย Adventure รวมทั้งการครีเอทอีเวนท์ต่างๆ ภายในฟาร์มตลอดทั้งปี เพื่อให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในสิงห์ปาร์ค รวมทั้งจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการมี Big Event ในช่วงเทศกาลทั้งช่วงต้นปี กลางปี ปลายปี รวมทั้งอีเวนท์ย่อยๆ และอีเวนท์ทางด้านกีฬาอีก 14 รายการ ในฐานะ Global Sport Destination อีกด้วย
ปัจจุบันสิงห์ปาร์ค เชียงราย มี 3 อีเวนท์ใหญ่ ที่จัดเป็นประจำทุกปี และถูกระบุไว้ในปฏิทินท่องเที่ยวของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น งานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ Singha Park Chiangrai International Balloon Fiesta ที่จะจัดขึ้นในเดือน ก.พ. ของทุกปี ส่วนช่วงกลางปี ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนก็จะมีเทศกาลดนตรีร็อคที่มาพร้อมความชุ่มฉ่ำจากสายน้ำ สุดมันส์อย่าง Wet Rock Music Festival ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. รวมทั้งอีเวนท์ส่งท้ายปีกับ Farm Festival on The Hills มหกรรมคอนเสิร์ตเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวฤดูหนาวของเชียงราย ในช่วงเดือนธันวาคม
ช่วงที่มีอีเวนท์ใหญ่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย จะรองรับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติวันละหลายหมื่นจนถึงหลักแสนคน ทำให้เกิดการกระจายรายได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งจังหวัด ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไปจนถึงรายย่อยอย่างทั่วถึง โดยการเติบโตในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา สะท้อนได้จากเที่ยวบินในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากวันละ 7 เที่ยวบิน เป็นกว่า 50 เที่ยวบิน จากเที่ยวบินประจำ และไดเร็กต์ไฟล้ท์ หรือการเพิ่มขึ้นของจำนวนห้องพัก จากที่มีหมื่นกว่าห้อง เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นห้อง รวมไปถึงอานิสสงส์ไปยังร้านค้า ร้านอาหารภายในจังหวัด คนขับรถรับจ้างที่คอยวิ่งให้บริการรับส่งผู้คน หรือแม้แต่เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่ายเป็นของฝากตามริมทางให้กับนักท่องเที่ยว นอกเหนือไปจากการจ้างงานผู้คนในพื้นที่กว่า 1,200 ตำแหน่ง ที่ทำงานอยู่ในส่วนต่างๆ ภายในไร่
เพิ่มสเกลอีเวนท์ ปักหมุดแลนด์มาร์กระดับโลก
ปีนี้สิงห์ปาร์ค เชียงราย ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ยักษ์ใหญ่ในวงการอีเวนท์อย่าง Index Creative Village ครีเอทปรากฏการณ์งาน Light Festival ครั้งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียอย่าง Village of Illumination ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อให้กลายเป็นอีกกิจกรรมในปฏิทินท่องเที่ยวประจำปีของเชียงรายและประเทศไทย
คุณพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด และ คุณเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเออทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ร่วมกันว่า Village of Illumination จะถูกจัดแสดงบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ท่ามกลางบรรยากาศในฤดูหนาวของสิงห์ปาร์ค เขียงราย โดยจะจัดต่อเนื่องยาวกว่า 2 เดือน ต้ังแต่ 4 ธ.ค. 63 – 31 ม.ค. 64 และอยู่ในช่วงรอยต่อของ 2 เทศกาลใหญ่อย่าง สิงห์ ฟาร์ม เฟสติวัลในช่วงปลายปี และงานเทศกาลบอลลูน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเพิ่มระยะเวลาให้ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของเชียงรายยาวนานขึ้น รวมทั้งเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Aging หรือกลุ่มวัยเกษียณที่มีทั้งกำลังซื้อ และยังมีเวลาที่สามารถท่องเที่ยวแบบ Long Stay ทำให้ช่วยเพิ่มอัตราการค้างคืนในเชียงราย และเป็นโอกาสในการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
โดย Village of Illumination ใช้งบกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเนรมิตรพื้นที่กว่า 100 ไร่ ให้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นครั้งแรกที่มีการผสมผสานเรื่องของศิลปะ ดนตรี ดิจิทัล และเทคโนโลยีไว้ด้วยกัน โดยไม่ได้ตั้งเป้าแค่ดึงดูดเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ยังต้องการเป็นแลนด์มาร์กที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศจากทั่วโลกให้เข้ามาเที่ยวในเชียงรายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวแบบ Long Stay เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีทั้งกำลังซื้อ และมีเวลาในการท่องเที่ยว เพื่อช่วยเพิ่มอัตราวันพักโดยเฉลี่ย รวมทั้งกระตุ้นการจับจ่ายให้สูงขึ้น และยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยผลักดันให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในเชียงรายได้ถึง 4.5 ล้านคน เพื่อยกระดับขึ้นเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักได้ในสิ้นปีนี้
“ความร่วมมือระหว่างสิงห์ปาร์คและอินด็กซ์ในครั้งนี้ จะช่วยให้เศรษฐกิจเชียงรายเติบโตได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจเชียงรายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากเสน่ห์เดิมๆ ของผู้คน วิถีชีวิต ธรรมชาติ และยังมีงาน Man Made ที่สะท้อนถึงด้านเทคโนโลยี และครีเอทีฟ ที่ไม่แพ้ใคร และช่วยเพิ่ม Destination ทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เชียงรายมากขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปดูในต่างประเทศ รวมทั้งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในสิงห์ปาร์คให้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันนักท่องเที่ยว 80% เป็นคนไทย และ 20% เป็นต่างชาติ โดยจะพยายามเพิ่มสัดส่วนชาวต่างชาติให้มีราว 30-40%”
เดินหน้าพัฒนา ไม่มีสิ้นสุด
ขณะที่การพัฒนาของสิงห์ปาร์ค ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งการริเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ และการยกระดับโปรเจ็กต์เดิมที่มีอยู่ให้มีพลังมากพอที่จะดึงดูดผู้คนเข้ามาในพื้นที่ได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากโปรเจ็กต์ใหม่อย่างงานไลท์เฟสติวัลที่จะจัดในปี 2020 นี้แล้ว ยังเตรียมเพิ่มอีเวนท์ใหม่ๆ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของชาวเชียงรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะความโดดเด่นในเรื่องของการเป็นเมืองแห่งศิลปะ และมีศิลปินท้องถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก ที่น่าจะมาต่อยอดในการครีเอทอีเวนท์ และช่วยดึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น จากปัจจุบันมีทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มแมส และกลุ่มร็อค กลุ่มครอบครัว อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายสเกลงานเทศกาลบอลลูนให้เทียบชั้นงานระดับโลก ด้วยการเพิ่มพื้นที่จัดงาน 4 เท่า จาก 10 ไร่ เป็น 40 ไร่ รองรับคนได้หลายแสนคน จำนวนรถหลายหมื่นคัน เพิ่มจำนวนบอลลูนเป็นกว่า 200 ลูก จากปัจจุบันอยู่ที่ 30 กว่าลูก เพื่อให้เป็นงานบอลลูนที่สิงห์ปาร์ค กลายเป็น Global Landmark ที่ทุกคนทั่วโลกต้องการมาเที่ยวชม และช่วยสร้างชื่อให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยคาดต้องใช้งบในการจัดงานไม่ตำ่กว่า 100 ล้านบาท และวางเป้าหมายจะทำให้สำเร็จได้ภายใน 5 ปีจากนี้
ส่วนแผนในการสร้างโรงแรม 6 ดาว ภายในสิงห์ปาร์ค อาจจะต้องมีการทบทวนและพิจารณาการลงทุนใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น ซึ่งตามแผนอาจจะมีการปรับรูปแบบการลงทุนจากโรงแรม 6 ดาว เป็น 3 ดาวที่มีมาตรฐานสูงเทียบเท่าระดับโลกแทน
ซึ่งตลอดเกือบทศวรรษที่ผ่านมา สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นหนึ่งแกนสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตและพัฒนาเชียงราย และสร้างการกินดี อยู่ดีให้ชาวเชียงรายมาโดยตลอด ทำให้ผู้ที่เป็นเบื้องหลังและเป็นหลักสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานต่างๆ ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย อย่าง คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้รับการแต่งตั้งจากจังหวัดเชียงราย ให้ดำรงตำแหน่งพลเมืองกิตติมศักดิ์ของจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้สร้างสรรค์และให้กำเนิดสิงห์ปาร์ค จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศ รวมทั้งจะยกระดับขึ้นเป็นระดับโลกในอนาคต
แนวคิดในการพัฒนาสิงห์ปาร์ค เชียงราย ที่คุณสันติ มักจะกล่าวกับทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างเสมอ คือ การให้ความช่วยเหลือผ่านการยกระดับและพัฒนา มากกว่าแค่การนำสิ่งของไปให้ เหมือนกับการให้เบ็ดตกปลา และสอนวิธีการจับปลา การดูว่าบ่อไหนมีปลาให้ตก มากกว่าการนำปลาไปให้ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ชาวบ้านหาปลาได้ด้วยตัวเอง แต่รอแค่คนเอาปลามาให้ แต่เลือกช่วยผ่านการจ้างงาน และดึงผู้คนเข้ามาในพื้นที่เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและคนที่จะเข้ามาช่วยจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังทุกภาคส่วน
และอีกหนึ่งคำกล่าวขอองคุณสันติ ที่มักจะได้ยินเสมอ เมื่อมีคนพูดถึงการพัฒนาสิงห์ปาร์ค คือ “มีคนถามผมเสมอว่า ภาพสุดท้ายที่ผมอยากให้สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นคืออะไร ซึ่งผมก็จะตอบทุกครั้งว่า ไม่มี เพราะการพัฒนาต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันหยุด เพื่อให้สิงห์ปาร์คสามารถสร้างประโยชน์ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ และเป็นหนึ่งในต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับทุกคนในเชียงรายและประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด”