ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับไวรัส Covid-19 ที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ภาคเอกชน แบรนด์ใหญ่ๆ ทั้งหลาย จึงต้องเร่งหาทางออกในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ร้านอาหาร ห้างร้านที่ต้องอาศัยช่องทางออฟไลน์สร้างประสบการณ์ ต้องแสวงหาวิธีเอาตัวรอดอย่างหนัก เช่นเดียวกับเชนกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก “สตาร์บัคส์” (Starbucks)
Kevin Johnson ซีอีโอของสตาร์บัคส์ กล่าวว่าเขาอาจพิจารณาแนวทางการจำกัดที่นั่งในบางสาขา (เช่นเดียวกับการดำเนินการของร้านอาหารหลายแห่งในยุโรป คือ ลดจำนวนโต๊ะ เก้าอี้เพื่อให้มีจำนวนลูกค้าน้อยลง สามารถจัดโต๊ะให้แต่ละตำแหน่งมีช่องว่างห่างกัน-ผู้แปล) นอกจากนี้ยังคิดถึงการสั่งเครื่องดื่มผ่านแอปพลิเคชั่น หรือสั่งแบบไดร์ฟ-ทรู แล้วลูกค้าเพียงแค่มารับสินค้าที่หน้าต่างของร้านเท่านั้น ซึ่งหลายสาขาในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเดินหน้าปรับโฉมตามแนวทางนี้แล้ว
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เราต้องปรับประสบการณ์ในสาขา โดยจำกัดที่นั่ง แล้วพัฒนาประสบการณ์ใหม่ๆ ในระยะไกลขึ้น อาจจะต้องใช้การสั่งผ่านโมบายล์ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่นของเราหรือพาร์ทเนอร์ เช่น Uber หรือบางสาขาก็คงเหลือเฉพาะไดร์ฟ-ทรูเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่” Kevin Johnson กล่าวในจดหมายที่เขาเขียนถึงลูกค้า
ตอนนี้สตาร์บัคส์บางสาขาได้ปิดลงชั่วคราว เช่นสาขาที่ใจกลางเมืองซีแอตเทิ้ล ได้ปิดให้บริการทันทีในวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากบาริสต้าคนหนึ่งมีอาการคล้ายกับติดไวรัสโควิด-19 และเพื่อนร่วมงานอีก 13 คนก็ต้องกักตัว ก่อนที่ทางสาขาจะทำความสะอาดใหญ่ แล้วเปิดให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์สัปดาห์ถัดมา
ถึงแม้ว่าสาขาในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะต้องปรับตัวยกใหญ่ แต่ก็มีข่าวดีของสตาร์บัคส์ที่จีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของสตาร์บัคส์เข้ามาทดแทน เมื่อในตอนนี้สาขากว่า 90% ในประเทศจีนเริ่มกลับมาเปิดได้อีกครั้งแล้ว หลังจากปิดไปมากกว่าครึ่งหนึ่งในช่วงเวลาที่ประเทศจีนยังต้องต่อสู้กับไวรัส